เนปาล - กาฐมาณฑุ ถึง จุดชมวิวเขาเอเวอร์เรสต์
Posted on January 4, 2014 13:03


Everest base camp อยู่ใน bucket list หรือรายการที่อยากไปให้ถึง ดังนั้นการเดินทางเพื่อชิมลางครั้งนี้ก็เพราะอยากรู้ว่าถ้าต้องไปให้ถึง base camp เราต้องฝึกอีกมากน้อยขนาดไหน เอาแค่จุดชมวิวก่อนทริปนี้


แผนการเดินทางเป็นแบบไม่ยาว เอาแบบพอให้รู้ถึงความเจ็บปวดและความสามารถทางร่างกาย ณ เวลานั้น แค่ วันตามเส้นทางนี้

align=

วันแรก 22 มกราคม 2555 ไปถึง ก็เลือกไฟลท์ไปถึงซะดึกเลย พอไปถึงก็ทำวีซ่า on-arrival ก่อน ค่าวีซ่าต่างกันตามจำนวนวันที่เราจะพักอยู่ในเนปาล เมื่อทำวีซ่าเรียบร้อยก็เดินออกมาเพื่อหาแทกซี่ไปที่พัก สนามบินที่กาฐมาณฑุ เล็กพอๆ กับสนามบินระดับท้องถิ่นตามต่างจังหวัดขนาดไม่ใหญ่ของเราเลย คนเป็นมิตรมาก ที่นี่เค้าให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวมาก ที่นี่เค้ามีเคาน์เตอร์เพื่อเข้าคิวขึ้นแทกซี่เหมือนบ้านเรา มีเจ้าหน้าที่ถามว่าจะไปไหน และจ่ายเงินได้ตั๋วออกมาไปขึ้นแทกซี่ หรืออีกอย่างเรียก pre-paid taxi booths เพื่อไปที่พัก ค่าแทกซี่ตอนกลางคืนจะแพงกว่าตอนกลางวันนิดหน่อย แทกซี่แต่ละคันนั้นอายุน่าจะหลายสิบปี (หมายถึงอายุรถ)

 

ระหว่างแทกซี่พาเราไปที่พักในย่านช้อปปิ้งที่มีนักท่องเที่ยวมากมาย เรียกว่าย่านธาเมล Thamel ก็ได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ ตึกรามบ้านช่องและถนนหนาง แทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือเมืองหลวงของประเทศๆ หนึ่งในโลกใบนี้ ที่ยังไม่เจริญเลย ถนนบางส่วนยังเป็นถนนดิน มีร่องระบายน้ำด้านข้าง ถ้าเดินหรือขับรถตอนกลางคืนแบบไม่ชำนาญทางมีหวังตกลงไปแน่นนอน ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งรถไปในต่างจังหวัดที่ความเจริญยังเข้าไปไม่ถึงมากนัก อากาศดีมาก รู้สึกได้ว่าอากาศบริสุทธิ์อยู่มากทีเดียว เมื่อเทียบกับเมืองหลวงที่มีความเจริญเข้าไปถึงมากมายแล้ว

align=


ช่วงที่เราไปปลายเดือนมกราคม เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวไม่นิยมเดิน เพราะเป็นช่วงรอยต่อหน้าหนาวต่อใบไม้ผลิ ซึ่งถ้าโชคไม่ดีก็จะเจอฝนหรือไม่ก็พื้นยังเป็นน้ำแข็งที่กำลังละลายแบบมีดินมากลบบังเรามองไม่เห็น ลื่นดีจริงๆ ยังไม่รวมที่อากาศยังหนาวมาก ช่วงเดือนที่นิยมเดือนขึ้นเขาเอเวอร์เรสต์คือเดือนตุลาคม นั่นแปลว่านักท่องเที่ยวเป็นพันๆคนเดินขึ้น-ลงเขาในช่วงเวลาเดียวกัน พลุกพล่านดี เพราะทางไม่กว้าง และมีเส้นเดียว แต่ก็คงเป็นสีสันอีกแบบ เรามาช่วงนี้แหละคนน้อยดี

 

เช้าวันรุ่งขึ้นต้องออกเดินทางแต่เช้า เพราะต้องนั่งเครื่องบินแบบ 6 ที่นั่งไป Lukla ใช้เวลาประมาณ 45 นาที อันนี้เป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำหรับเรา เพราะเป็นคนเมาง่าย เมาเครื่องบิน เรือ รถไฟ ทุกอย่าง ยิ่งเป็นแบบ ที่นั่งที่โคลงเคลงๆ แบบนี้ เตรียมถุงได้เลย และก็เป็นดั่งคาด วันนี้อากาศดี มองเห็นเขาเอเวอร์เรสต์จากเครื่องบิน คนอื่นก็สนุกสนานกันไป ส่วนเราก็ก้มหน้าก้มตาอยู่กับถุงของเราไป

align=


พอไปถึงก็ค่อยยังชั่ว อากาศดีและเย็นมากซึ่งทำให้หายมึนเร็วขึ้น ก็แวะทานอาหารเช้าแป๊บนึง แล้วก็เดินเป็นการซ้อมเดินวันแรกก็ประมาณ ชั่วโมง ไปพักที่หมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Phakding ประมาณ 2,610 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เดินขึ้นเขาวันนี้เป็นการเดินเรียบแม่น้ำ milk-white Dudh Kosi River ที่มีน้ำสีขาวเหมือนสีนม (เค้าว่างั้น)

align=


พักที่  Phakding หนึ่งคืนที่พักเป็น tea house หรือร้านน้ำชา จะเป็นกระท่อมเล็กๆ นอนคนเดียว สองคน หรือเป็นกลุ่มก็แล้วแต่ขนาดห้อง ของเรานอนคนเดียว ไกด์เค้าก็มีที่พักของเค้า

align=


ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่ tea house ส่วนใหญ่ยังใช้ฟืนไม้เพื่อให้ความอบอุ่น ไม่มี heater ไฟฟ้า หรือเครื่องอำนวยความสะดวกใดๆ และทรัพยากรมีให้ใช้อย่างจำกัด ดังนั้นเค้าจะเอาฟืนสุมไฟให้ความอบอุ่นเมื่อเริ่มมืด ตอนเราทานข้าวเย็นเสร็จ นั่งให้ข้าวย่อยซัก 30นาทีถึง ชั่วโมง แล้วฟืนก็จะดับ เราก็ต้องไปเข้านอน นอนแต่หัวค่ำมาก แม่เจ้า หนาวสุดๆ อุณหภูมิคืนนั้น -5 องศา 

align=


ในห้องไม่มี heater ไม่มีฟืนสุมไฟ ผ้าห่มล้วนๆ เอาไงดี หนาวมากๆ ขอผ้าห่มนวม ผืน สองรองนอน สามบนตัว ใครมองเข้ามาคงเห็นเป็นกองผ้าขนาดใหญ่ ไม่งั้นนอนไม่หลับ เพราะหนาวมาก


อีกอย่างที่ต้องทำความเข้าใจ ในห้องมีห้องน้ำให้ทำธุระหนักเบา (ห้องอาบน้ำอยู่ข้างนอก แบบรวม) แต่เนื่องจากฤดูที่ไปน้ำจะเป็นน้ำแข็งตอนกลางคืน ชักโครกไม่ทำงาน แปลว่าถ้าปวดท้องตอนกลางคืน ต้องเดินออกมาห้องน้ำข้างนอก หนาวก็หนาว ปวดก็ปวด เลือกที่จะนอนมันไปทั้งปวดๆ นั่นแหละ ฝันทั้งคืนว่าปวดฉี่ 555


คงไม่ต้องบอกว่า การอาบน้ำเป็นอะไรที่ต้องเลี่ยง


เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นมา เริ่มทานน้อย ดื่มน้อย เพราะไม่อยากต้องทำธุระระหว่างทาง (อันนี้เป็นปัญหาของผู้หญิงส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ค่อยดีเท่าไหร่)​ เอาแค่พอมีแรงเดินก็พอ เรามุ่งหน้าเพื่อไป Namche  เป็นจุดที่เค้าเรียกว่าจุดสุดท้ายที่จะมีที่พัก แบบ tea house หรือโรงแรม ถัดจากจุดนี้ไปจะต้องเป็นการตั้งเต้นท์ อย่างเดียว


นอกจากนี้ที่ Namche Bazaar เป็นจุดที่นักปีนเข้าทั้งหลายต้องพักสองคืน เพื่อปรับตัวให้เข้ากับระดับความสูงกว่าน้ำทะเลที่ประมาณ 3,500 เมตร เพื่อดูว่าร่างกายไม่มีปัญหากับ Altitude

align=


การเดินวันนี้ เป็นการเดินแบบที่จะต้องเจอไปตลอดทางถ้าต้องเดินขึ้น Everest base camp เพราะเป็นการเดินขึ้นเขาที่ชัน บวกกับใต้ดินที่เรามองไม่เห็นยังเป็นน้ำแข็งอยู่ วันนี้ลื่นเกือบตกผาไปครั้งนึง ดีว่าไกด์นำทางเราคว้าไว้ทัน โชคดีไป นึกว่าจะมาตายหรือขาหักตั้งกะเริ่มต้นซะแล้ว

align=


align=


วันนี้ต้องเดินตัดแม่น้ำ Dudh Koshi river หลายครั้ง

align=


align=


เริ่มมองเห็นยอดเขาเอเวอร์เรสต์ไกลๆ

align=


align=


ต้นไม้ที่มีน้ำแข็งเกาะ

align=

 

น้ำตกที่ยังเป็นน้ำแข็ง และแม่น้ำที่น้ำแข็งยังละลายไม่หมด

align=


align=


รวมถึงมองเห็นวิถีชีวิตคนท้องถิ่น

align=


align= 


ก็เพลิดเพลินสลับหอบเป็นระยะๆ แล้วความเจ็บปวดที่เข่าก็เริ่มสำแดงฤทธิ์ แต่ก็กัดฟันเดินจนถึง ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมง


วันนี้เราได้เจอกับกลุ่มนักเดินเขาชาวอังกฤษ เค้ามากันเป็นกลุ่ม คน กับไกด์นำทางอีกคน เค้าเห็นเราเดินคนเดียว เค้าก็ชวนเข้ากลุ่ม ก็เดินไปกับเค้า หนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงที่อายุเพิ่งยี่สิบต้นๆ เป็นนักกีฬาฮ็อคกี้ เมื่อเดินไปถึง เราก็แค่เหนื่อย  แต่ผู้หญิงชาวอังกฤษคนนี้เริ่มมีอาการไม่อยากอาหาร เหนื่อยและเพลียกว่าคนอื่นๆ


วันนี้เป็นการนอนพัก ที่พักเป็นแบบกึ่งโรงแรม ห้องอาบน้ำและห้องน้ำยังเป็นแบบรวม แต่อย่างน้อยเป็นการอยู่ในอาคาร แต่เนื่องจากอยู่ในที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึงเกือบ 3,500 เมตร ก็หนาวมากเหมือนเดิม วันนี้ซักแห้งเหมือนเดิม


วันรุ่งขึ้นเราเดินไปชมเอเวอร์เรสต์ที่จุดชมวิว ที่ต้องเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง นี่จะเป็นจุดสุดท้ายสำหรับการเดินทางทริปนี้ของเรา ก่อนที่จะเดินกลับลงไป

align= 

align=


ส่วนใครที่จะเดินต่อไป Everest base camp ต้องพักที่นี่อีกหนึ่งคืน การเดินขึ้นไปที่จุดชมวิวเพื่อปรับระดับร่างกายและกลับมานอนที่ Namche Bazaar เหมือนเดิม วันนี้แหละที่ก็เกิดปัญหาขึ้นกับนักเดินเขาชาวอังกฤษผู้หญิง เค้ามีปัญหากับ  Altitude ร่างกายปรับไม่ได้ เค้าอาเจียนตลอดการเดินขึ้นไปจุดชมวิว และขากลับ เค้าเลยต้องเดินกลับมาที่ Lukla พร้อมกับเรา ในขณะที่ทีมงานเดินต่อไป Everest base camp สิ่งนี้บอกอะไรเรา ไม่จำเป็นว่าคุณจะแข็งแรงขนาดไหน ร่างกายพร้อมขนาดไหน คุณก็สามารถมีปัญหาเรื่องร่างกายปรับกับระดับน้ำทะเลที่สูงมากไม่ได้ ดังนั้น ระหว่างที่เดินขึ้นเขา อย่าเดินเร็ว เดินตามความเร็วปกติที่เราเดินได้ อย่าเร่ง อย่าฝืนร่างกายจนเกินไป ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นอย่างนี้ เพราะกลุ่มอังกฤษนี้เดินนำหน้าเราตลอดถึงก่อนเราเป็นชั่วโมง และก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เราเดิน speed ของเรา ไปถึงสบายผิดกัน


หลังจากเพลินเพลิดกับจุดชมวิวและพิพิธภัณฑ์เล็กๆ บนนั้นแล้ว เราก็เดินลงทันที อีกประมาณ ชั่วโมง มาพักที่  Monjo ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,850 เมตร

 

เช้าอีกวัน เดินลงต่อเนื่องมาอีก ชั่วโมง ตอนนี้ล่ะที่ปวดเข่าสุดๆ  แถบจะไม่อยากก้าวขา แต่ก็เดิน วิ่งลงมาเพื่อให้จบเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ วันนี้นอนที่ Lukla เพราะเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นต้องนั่งเครื่องบิน ที่นั่งกลับกาฐมาณฑุ วันนี้ได้เพื่อนใหม่เป็นผู้หญิงชาวจีน ที่เค้าวิ่งลงมาาก Namche Bazaar แข็งแรงมาก เราเดินสองวันถึงที่นี่ เค้าวิ่งตีห้า ถึงทุ่มนึงในวันเดียวกัน ไม่มีอากาศปวดขา เข่าแต่อย่างใด เราถามไปถึง base camp แล้วกลับลงมาเหรอ เค้าบอกเปล่า เค้าเป็นไข้หวัดกลางทาง คงไปพร้อมเพื่อนๆ ไม่ไหว เลยกลับลงมารอข้างล่างดีกว่า อ้าว ดูว่าแข็งแรงสุดๆ ไม่สบายซะงั้น ก็ได้เพื่อนคุยถูกคอ ก่อนแยกย้ายกันไปนอน ก่อนไปนอนก็แลกเบอร์โทรศัพท์ whatsapp อะไรต่างๆ เผื่อว่าไปถึงกาฐมาณฑุ จะได้มีเพื่อน

 

และก็เป็นอีกเรื่องที่เราได้เรียนรู้ อากาศที่นี่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะระหว่างรอยต่อของฤดูแบบนี้ เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงเร็วและบ่อย ทำให้คนที่อยากจะกลับเข้ากาฐมาณฑุ ไม่สามารถทำได้ตามใจทุกวัน เพราะเครื่องบินที่บินได้เป็นเครื่องบินลำเล็กๆ ที่ถ้าลมหรือหมอกหนา ทำให้ทัศนวิสัยการบินไม่ดี เที่ยวบินก็จะถูกยกเลิกอยู่บ่อย ๆ เช่นกันกับเช้าวันนี้ ที่มีนักท่องเที่ยวตกค้างมาหลายวัน ทำให้เราต้องบินคนเดียว ไกด์นำทางต้องรอเที่ยวบินถัดไป หรือเราอาจจะไม่ได้เจอเค้าอีกเลย เพราะไม่รู้เมื่อไหร่เค้าจะมีที่นั่งให้กลับได้

align=

ก่อนขึ้นก็หน้าตาแจ่มใส แต่พออยู่บนเครื่องเช่นเดียวกันกับขาไป อยู่กับถุง ไม่ได้มองวิวเช่นเคย

 

เมื่อมาถึงกาฐมาณฑุ มีเวลาช่วงกลางวัน ก็ทำการสำรวจเมืองกาฐมาณฑุ โดยการเดินเท้าไปตามเมือง

align= 


ริมแม่น้ำ - ปิคนิคกันข้างแม่น้ำ ที่เต็มไปด้วยขยะ อันนี้เป็นจุดที่ไม่สวยของกาฐมาณฑุ

align=

 

วัด

align=


align=


align=

เผากันโล่งๆ อย่างงี้เลย

 

รวมถึงวิถีชีวิตของชาวกาฐมาณฑุ

align=


align=


align=


เย็นวันเดียวกัน ไกด์นำทางเรามีที่นั่งบินกลับลงมาช่วงบ่ายได้ ก็เลยนั่งทานข้าวเย็นด้วยกัน เป็นความบังเอิญระหว่างที่กำลังนั่งจิบเบียร์ฉลองความสำเร็จว่าเราก็พอเดินไหว (แต่ถ้าจะไปให้ถึง base camp ต้องกลับมาฟิตร่างกายอีกพอสมควร) โลกกลม ชาวจีนคนนั้นเดินผ่านหน้าร้านอาหาร ก็เลยได้เพื่อนทานข้าวเย็นดื่มเบียร์ด้วยกัน ก็เป็นการจบความประทับใจในเนปาลที่ไม่เลวเลยทีเดียว