Posted on February 23, 2014 17:03
ตอนนี้จาก Rabat ถึงทะเลทราย Sahara ต่อจากฉบับที่แล้ว เช้าวันที่ 30 มกราคม เมื่อชม Hassan II Mosque เรียบร้อยแล้ว เราก็เอากระเป๋าขึ้นหลัง เดินทางไปสถานีรถไฟพร้อมกับกลุ่มนักเดินทางด้วยกันใน รถไฟจาก Casablanca ถึง Rabat ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง Rabat เป็นเมืองหลวงของ Morocco หลายคนเข้าใจว่าเป็น Casablanca หรือ Marrakesh จริงๆ แล้วไม่ใช่ Casablanca เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศแต่ไม่ใช่เมืองหลวง ส่วน Marrakesh เคยเป็นเมืองหลวง แต่ปัจจุบันไม่ใช่ Morocco เป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยมีกษัตริย์เป็นประมุข
Rabat เป็นเมืองที่ตั้งอยู่กับมหาสมุทรแอตแลนติก และปากแม่น้ำ Bou Regreg พอมาถึง Rabat ก็ฝากกระเป๋าไว้ และเดินสำรวจ
Rabat downtown
Rabat Salé Tramway
ที่ Rabat เมื่อมาแล้วและต้องไปสำรวจคือ 12th-century Hassan Tower
และ Mausoleum of Mohammed V หรือก็คือสุสานของกษัตริย์ Mohammed ที่ 5 ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ Hassan Tower ซึ่งอยู่บน Yacoub al-Mansour esplanade
ด้านในอาคารมีโลงศพของ กษัตริย์และโอรสสองพระองค์ ซึ่งเป็นกษัตริย์ late Hassan II และ เจ้าชาย Abdallah
หลังจากนั้นเราก็เดินขึ้นไปที่ Kasbah des Oudaias (Kasbah ก็คือเมืองเก่าที่สร้างไว้สำหรับคนในเมืองได้อยู่อาศัย และมีกำแพงเพื่อป้องกันเวลาศัตรูมาบุกรุก หรืออีกนัย เมืองที่มีกำแพงเป็นป้อมนั่นแหละ) เพื่อชมความงามของมหาสมุทรแอตแลนติคจากตรงนั้น
สำรวจเพียงแค่ 2-3 ชั่วโมง ก็นั่งรถไฟต่อไปยัง Meknes ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
Meknes ก็เคยเป็นเมืองหลวงของ Morocco เช่นกันในอดีต นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นเมืองหลวงที่ได้ชื่อว่ามีสีสันที่สุดเมือหนึ่ง เมื่อครั้งที่ สุลต่าน Moulay Ismail ได้ฉายาว่าเป็นเหมือน กษัติรย์ Louis ที่ 14 ของฝรั่งเศส เพราะ สุลต่าน Moulay Ismail ได้ทำการสร้างพระราชวังแวร์ซาย ในแบบฉบับของตัวเอง สร้างกำแพง ประตู และวังรวมแล้วกว่า 50 วัง โดยใช้คนงาน (ทาส) กว่า 25,000 ชีวิต แบบไม่หยุดเลย นั่นเลยเป็นสาเหตุว่าทำไมในช่วงยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง (ศตวรรษที่ 16-17) Meknes เลยเป็นเมืองหลวงที่มีสีสันที่สุด
พอมาถึง Meknes ก็บ่ายคล้อย คืนนี้นอนที่ Meknes
วันที่ 31 มกราคม
เช้าวันนี้ตื่นมา ทานอาหารเช้าแล้วก็มีเวลาไปสำรวจ Meknes จุดที่ต้องไปก็ต้องเป็น ยุ้งฉางโบราณ หรือที่เก็บข้าวสาร อาหารแห้งของเมืองเค้า ที่มีขนาดใหญ่มหึมา
หลังจากนั้นเดินเหนื่อย อาหารแนะนำก็แน่นอน ต้องเป็น เบอร์เกอร์เนื้ออูฐ ที่ต้องลองในตลาดเมืองเก่า medina ของเค้า ตื่นเต้น เพราะคนขายคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยว ยอมให้ถ่ายรูป โพสต์ท่าเสร็จสรรพ ยิ้มแย้มแจ่มใส เบอร์เกอร์ก็อร่อย แต่พอตกเย็กหลายคนในกลุ่มมีปัญหาท้องไส้ไม่ดี สงสัยอูฐทำพิษ คนไทยบ้านๆ อย่างเรา สะบ๊ายยยย
หลังจากนั้น นั่งรถ minibus เพื่อไป Fes ระหว่างทางห่างจาก Meknes ประมาณ 1 ชั่วโมง เราแวะเมืองโบราณร้าง ที่ชื่อ Volubilis ซึ่งเป็นหนึ่งในมรดกโลก UNESCO World Heritage site ด้วย Volubilis เป็นเมืองโรมันที่สร้างตั้งแต่สมัยโบราณ อันนี้เก่ามาก 3rd century BC หรือ สามร้อยปีก่อนคริสตกาล และถูกปล่อยทิ้งร้างเมื่อศตวรรษที่ 11 และเมื่อกลางศตวรรษที่ 18 ก็พังลงเพิ่มขึ้นเนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และก็จนกระทั่งกลางศตวรรษที่ 19 เมืองนี้จึงถูกศึกษาอย่างเป็นทางการว่าเป็นเมืองเก่าสมัยอดิตกาล และปัจจุบันก็เป็นหนึ่งในมรดกโลก อย่างที่ว่ามา
หลังจากนั้นก็นั่งรถต่อ Fes ระหว่างทางก็เพลิดเพลินกับวิวข้างทาง ว่าช่างเขียวอะไรเช่นนี้
ระหว่างทางก็มีของขายเป็นระยะ ๆ
ลงไปซื้อส้มเค้านิสนึงด้วย หวานอร่อย หรือเพราะหิวก็ม่ายรู้
อีกประมาณ 1.5 ชั่วโมงก็ถึง Fes และคืนนี้ก็นอนที่ Fes
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ตื่นมาก็ได้เวลาสำรวจ Fes
Fes เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ และเป็นเมืองหลวงของภาค Fès-Boulemane (โมรอคโคมี 16 ภาค) Fes มีเมืองเก่าถึงสองเมือง เมืองเก่าที่ใหญ่กว่าระหว่างสองอันนี้ ที่เรียกว่า Fes el Bali ได้เป็นมรดกโลก และเชื่อกันว่าเป็นเมืองที่ปราศจากรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังได้รับการขนานนามว่าเป็น เมกกะ ตะวันตก และ กรุงเอเธน ของแอฟริกาด้วย
มาชม medina หรือเมืองเก่าที่ว่านี่เลยดีกว่า
medina จากด้านบน
Bab Bou Jeloud, The Blue Gate ประตูเข้าเมือง
ด้านหน้ามีป้ายต้อนรับเป็นภาษาไทยด้วย ดีใจจัง
ภายใน medina หรือเมืองเก่านี้ เนื่องจากเป็นเมืองที่ใหญ่มาก มีทุกอย่างอยู่ในนั้น อาหาร เสื้อผ้า สินค้าหัตถกรรมต่างๆ มากมาย เป็นต้นว่า
ต้องเรียกว่าใหญ่มาก เดินเพลินมาก หนึ่งวันก็ไม่พอหรอกที่เนี่ย แต่เรามีเวลาแค่วันเดียว พอละ พอตกเย็นก็ต้องทานให้อร่อย โมรอคโค ถือได้ว่ามีอาหารพื้นเมืองที่อร่อยติดอันดับต้นๆ ของโลก วันนี้ทานนี่เรย ทาจีนไก่
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ วันนี้เป็นการเดินทางเพื่อไปทะเลทรายซาฮาร่า แต่เนื่องจากมันไกลมาก เราต้องแบ่งออกเป็นสองวัน คืนนี้เราพักที่เมือง Midelt ซึ่งอยู่ภาคกลางของประเทศ เมืองนี้ตั้งอยู่ระหว่าง ภูเขา Atlas กลางและสูง หรือ middle Atlas mountain และ High Atlas mountain
ไฮไลท์ ของวันนี้คือทิวทัศน์ระหว่างทาง ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาก
พอไปถึงเราควรจะไปหมู่บ้าน Bremmem แต่เนื่องจากพอไปถึง ลมแรงมาก และหนาวมาก เราเลยตัดสินใจนั่งอยู่ในที่พัก เพื่อความอบอุ่น แถมเดินออกไปคงไปไม่ได้ไกลเพราะลมแรงมาก นั่งอุ่นๆ พักดีกว่า เวลาหนาวๆ ดื่มชามิ้นท์ สูตรโมรอคโค ช่วยให้หายหนาวไปได้เยอะเลย
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ เช้าหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ทะเลทรายซาฮาร่า ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง
ทิวทัศน์ระหว่างทาง ผ่านทั้งเมืองเก่า หุบที่เต็มไปด้วยต้นปาล์ม และการเปลี่ยนแปลงของอากาศตลอดเส้นทาง ขอบอกว่าสวยมากจนอธิบายไม่ถูก ถ่ายรูปหมดไปเฉพาะไม่กี่วันเกือบพันรูป
และแล้วเราก็มาถึงที่ที่รถไปต่อไม่ได้แล้ว เรียกว่าจุดพักMerzouga
หลังจากจุดนี้ต้องเป็นโฟร์วิล ที่ไว้สำหรับขับไปบนทะเลทราย หรืออูฐ หรือเดิน เราไปโดยขี่หลังอูฐ เชื่อมะว่ามองเห็นเป็นทรายละเอียดสีแดง แสดงอาทิตย์จ้า แต่หนาวชะมัด เอาของที่จำเป็นเท่านั้น ขึ้นหลังอูฐเสร็จก็ออกเดิน มันไม่เหมือนขี่อูฐที่เดินไปบนพื้นแข็งๆ พื้นทรายมันยวบ เราก็ต้องเกาะดีๆ เผลอๆ มันเอียงมาก เดี๋ยวมีตกกันมั่ง
ระหว่างนั่งเพลินเพลิด ลมตีหน้าบนหลังอูฐ เราก็เห็นรถโฟร์วิล ขับตามกันไปหลายคัน อยู่ข้างหน้าไกลๆ ได้ภาพสวยๆ
หลายๆ ครั้งคนนำก็ชี้ให้เราดูรอยเท้าบนทราย ที่สามารถพอมองออกว่าเป็นงู สัตว์เลื้อยคลาน แมลง หรือรอยเท้าคล้ายสัตว์ประเภทเสือ อืมมมม บางครั้งไม่อยากรู้ เพราะคืนนี้ต้องนอนกลางทะเลทราย
ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็ไปถึงเนินทราย ชื่อ Erg Chebbi dunes เป็นเนินทรายที่ขึ้นชื่อว่ามีภูมทัศน์ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยความสูงของสันทรายถึง 150 เมตร จากตรงนี้อีกประมาณ 20 กม. ก็จะถึงชายแดนประเทศอัลจีเรีย
คืนนี้เราพักในแคมป์ที่นี่ ไม่มีอะไร มีผ้าปูนอนกับผ้าห่ม เท่านั้น ห้องน้ำเป็นแบบห้องน้ำชั่วคราวตั้งห่างออกไป เป็นแบบขุดหลุม และมีผนังสี่ด้าน มองไปด้านบนเห็นท้องฟ้า กับต้นปาล์มที่อยู่บนสันทรายด้านบน โล่ง โปร่ง ดีแท้
พอไปถึงที่นี่เราพอมีเวลาก่อนอาหารเย็นและพระอาทิตย์ตก พอถึงวางของ เปลี่ยนรองเท้า หรือถอดมันเลย เดินเท้าเปล่าจะเหมาะสุดบนทรายอย่างนี้ กับขาที่แข็งแรง เพราะเดินไป คล้ายก้าวไปไกล แต่มันไถลทุกก้าวที่เดิน ใช้เวลานานกว่าจะเดินไปแต่ละที่ที่ตามองเห็นว่าอยากไป ก็ไปนั่งมองพระอาทิตย์เกือบตกดิน กับมองไปไกลๆ ชายแดนประเทศอัลจีเรีย สวยจนบรรยายไม่ถูกจริงๆ
ตอนเดินไป ไม่ค่อยคิดเผื่อขากลับ พอจะกลับ เอ้า พระอาทิตย์ก็จะตก เดี๋ยวมืด แต่ก็ไม่วายรอหยุดถ่ายรูปพระอาทิตย์ลับขอบสันทรายก่อน แล้วค่อยวิ่งกลับมา ไม่ต้องอาบน้ำวันนี้ เพราะไม่มีให้อาบ น้ำพอเอาไว้ทำอาหาร กับธุระจำเป็นเท่านั้น
เค้ามีพ่อครัวทำอาหารให้เราทาน โอ้โฮ้ ภัตตาคารสู้ไม่ได้ อร่อย หอมมาก หน้าตาเป็นอย่างนี้
หลังอาหารเย็น มืดแล้ว เราก็ไปนั่งก่อกองไฟ ผิงกัน เพราะยิ่งมืดยิ่งหนาว ไกด์กะพ่อครัวแปลงร่างเป็นนักดนตรีและนักร้อง คร่ำครวญเพลงให้พวกเราฟัง ขณะที่เราร้องไปด้วย (ร้องไม่ได้ ฮัมเอา) หรือนอนมองฟ้า ที่มีดาวเต็มไปหมด ประสบการณ์นี้ขอบอกว่าจะไม่มีวันลืมเลย อยากจะหยุดเวลาได้จริงๆ