Morocco ประเทศแห่งทะเลทรายซาฮาร่า ตอนที่ 4 ตอนจบ
Posted on January 19, 2014 20:39


ตอนนี้เป็นประสบการณ์จาก Aroumd ไป Essaouira และจบที่ Marrakesh 


วันที่ 7 กุมภาพันธ์ ออกเดินทางจาก Ait Benhaddou ผ่าน Tizi n’Tichka หรือ เส้นทางผ่านภูเขาที่เชื่อมระหว่างตะวันออกเฉียงใต้ของ Marrakesh กับ Ouazazate โดยผ่านเทือกเขาแอตลาส High Atlas 

High Atlas หรือเรียกอีกอย่างว่า เทือกเขาแอตลาสที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ทอดยาวจากโมรอคโคกลางไปถึงทางเหนือของทวีปอัฟริกา เทือกเขานี้เริ่มจากด้านตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติคและทอดยาวไปทางตะวันออกถึงชายแดนระหว่างประเทศโมรอคโคและประเทศอัลจีเรีย ที่ High Atlas มียอดเขาสูงที่มีชื่อเสียงคือ Toubkal มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 4,167 เมตร ที่นี่เป็นที่ที่มีนักสกีจากทั่วโลก มาสกีจากยอดเขาลงมาด้านล่าง 

วันนี้เราจะไปถึงอุทยานแห่งชาติ Toubkal ระหว่างทางเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศอย่างเห็นได้ชัด คือเป็นการบอกลาภูมิภาคของทะเลทราย ไปหาเทือกเขาสูง อากาสจะเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ และเห็นหิมะตามยอดเขา 

align=


align=

ผ่านไป 5 ชั่วโมง ยัง ยังไม่ถึง เรายังต้องเดินเท้าอีก 1 ชั่วโมง ไปยังหมู่บ้าน Aroumd ที่เงียบสงบ ตรงบริเวณตีนเขา Toubkal อันนี้รถไปไม่ได้ ถ้าไม่ขี่ลา ก็ต้องเดินด้วยขาชองตัวเอง เป็นการเดินขึ้นเขา แต่ขึ่ลานี่ไม่เวิร์คแน่ๆ เพราะลาเดินไปตามไหล่เขา มองลงมาเสียวมากว่าถ้าลาพลาดนิดเดียวเป็นอันว่าหาโลงได้เรย ดังนั้น เชื่อขาตัวเองดีที่สุดจ้า 

align=


align=


align=

align=



ที่พักคืนนี้ที่ Aroumd เป็น homestay แบบชาวเขาที่นั่น หรือเค้าเรียกว่า Gite ก็เป็นแบบที่แบ่งกันนอน แบ่งกันเข้าห้องน้ำ คือแบบรวมทั้งหมดนั่นเอง ที่นอนของใครของมัน แต่ลานนอนเดียวกัน มีผ้าปูนอนกับผ้าห่ม โอ้โห อันนี้หนาวแท้จริงๆ เรยนะเนี่ย แต่มีผ้าห่มให้หยิบได้ไม่จำกัดผืน จะใช้กี่ผืนก็ตามสะดวก ที่สำคัญจะเข้าห้องน้ำต้องเดินออกจากผ้าห่มมาเข้าห้องน้ำนี่อาการจะสาหัสตอนกลางคืน เช่นเคยดื่มน้ำน้อยลง 555 ได้บรรยากาศแบบ gite ดีจริงๆ 

align=


พอวางกระเป๋าเลือกที่นอนตัวเองเสร็จ ก็ออกมานั่งจิบชาร้อนๆ มองวิวจากที่พัก ยอดเขา Toubkal จากตรงนี้เลย วิวสุดยอดอีกแล้ว นั่งมองไป เพลินไป คุยกันไป รออาหารเย็น 

align=


อาหารเย็นวันนี้เป็นการปรุงแบบที่เค้าทานกันเองที่บ้านเลย 


หลังจากอาหารเย็น เพื่อเป็นการสนับสนุนให้คนในชุมชนเล็กๆ นี้มีรายได้ พวกเราสาวๆ ก็เลือกที่จะ paint henna กัน เค้าบอกว่าเป็นสีธรรมชาติ ก่อน paint เอามาอธิบายด้วยว่าได้สีมายังไง รับรองว่าธรรมชาติจริงๆ ไม่แพ้ ทดลองกับตัวเองก็ไม่แพ้จริงๆ นั่นแหละ แต่ข้อเสียคือมันอาจจะไม่ทนเท่ากับสีสังเคราะห์ แต่ก็สวยอยู่หลายวัน อิอิ

align=


นอกจากนี้ระหว่างที่พวกเรานั่งรอการ paint ก็มีหลานของเจ้าของบ้านเข้ามาวนเวียนเป็นเพื่อนเราด้วย ชอบกล้องด้วยนะนี่ น่ารักดี

align=


คือที่นี่เค้านอนกันเร็วเกิน พวกเรายังไม่ง่วง ก็เกือบจะทุกคืนเล่นไพ่ UNO ไป ที่สำคัญเกือบทุกที่ที่เราไปตามชนบทอย่างนี้ เค้าไม่ดื่มอัลกอฮอล์ เพราะเค้าเป็นประเทศมุสลิม ดังนั้นไพ่ UNO ช่วยได้เยอะเลย 


วันที่ 8 กุมภาพันธ์ ก่อนออกเดินทางต่อไป  Essaouira เรามีเวลาเดินชมหมู่บ้าน เดินเล่นตามหุบเขา หรือจะเดินขึ้นเขาไป เทือกเขา Atlas ก็ได้ เราเลือกเดินขึ้นเขาไป เทือกเขา Atlas มาแล้วต้องไปให้ถึง ตื่นตีห้าออกเดิน 

align=


อากาศเย็นมาก แต่บรรยากาศดี อากาศรู้สึกได้เลยว่าสะอาดมาก และวิว สุดยอดที่สุด ยิ่งสูงยิ่งเดินยาก เพราะมีหิมะตามพื้นทางเดิน ลื่นหัวทิ่ม หรือก้นขมำกันไปคนละทีสองที 


align=


align=


align=


align=

พอตอนขากลับ แดดออก ระหว่างขากลับ เป็นช่วงเวลาที่ร้านน้ำชาทั้งตั้งอยู่กลางเขา เป็นโอกาสทางการค้าจริงๆ เพราะเค้าคงรู้ว่าคนเดินไป เดินกลับมันต้องกระหายน้ำ หรือหิว และหนาว ต้องมีคนอยากดื่มชาร้อนๆ หรือดื่มน้ำผลไม้คั้นสด บ้างละน่า ขอบอกว่าจากประสบการณ์ทุกคนต้องอยากหยุดจิบชา ดื่มน้ำแน่นอน และยิ่งมีเก้าอี้สนามให้นั่งโดยมีเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุมอยู่ด้านหลัง มองไปสุดลูกหูลูกตา ก็เป็นเทือกเขาเดียวกันทอดไปด้านหน้าเราไกลๆ ขอบอกว่าอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้เลย บรรยากาศสุดจะหาคำบรรยายได้ เอาเป็นว่าใครกะลังมีรัก มากับแฟน จะรักกันมากขึ้น ส่วนใครอกหัก อาจจะอยากโดดหน้าผาตายเดี๋ยวนั้น ส่วนใครที่ไม่อยู่ในอารมณ์โรแมนติค แต่กำลังมีความสุขกับชีวิต ก็จะรู้สึกอิ่มเอมและขอบคุณในความโชคดีของตัวเองที่ได้มีโอกาสมานั่งอยู่ตรงนี้ ณ เวลานี้

align=

หลังจากดื่มด่ำ อิ่มเอมกับทุกสิ่ง เราก็เดินต่อลงมายังที่พัก เก็บกระเป๋าแบบรวดเร็ว และก็ได้เวลาบอกลาเทือกเขา Atlas มุ่งหน้าสู่ Essaouira เป็นเมืองชายทะเลของโมรอคโค 


ใช้เวลาเดินทางอีก 5 ชั่วโมง สังเกตว่าแต่ละวันจะเดินทางค่อนข้างไกลมาก 

เมื่อมาถึง Essaouira ก็บ่ายคล้อย 

Essaouira มีความหมายว่า “ภาพ” ซึ่งถือว่าเป็นคำที่เหมาะสมมาก เพราะ Essaouira เป็นเมืองที่ล้อมรอบด้วยเกาะหิน หาดทราย และสันทราย นอกจากนี้ก็มีแกลอรี่ภาพมากมาย มีบ้านสีขาวๆ และมีโรงงานผลิตสินค้าหัตถกรรมที่ทำจากไม้ เป็นเมืองที่มีความสวยงามน่าสนใจมากทีเดียว 


พอไปถึง Essaouira ก็พอมีเวลาเดินนิดหน่อย ก่อนจะค่ำ เราก็เดินไปไปชมบริเวณชายทะเล ที่เป็นท่าเรือ และท่าปลาของที่นี่ 

align=


align=


align=


align=


คืนนี้เรานอนที่เป็นโรงแรมเล็กๆ ที่เอาบ้านของนักประพันธ์ชาวโมรอคโคเก่า มาทำเป็นโรงแรม  น่ารักดี มีสองชั้น แต่มันไม่ค่อยเก็บเสียงเท่าไหร่ เดินขึ้นชั้นบน จะได้ยินเสียงอี๊ดอ๊าดๆ ที่สำคัญคืนนั้นโชคไม่ดี บางคนอาบน้ำอยู่รู้สึกเหมือนไฟดูด แต่ก็ได้รับการแก้ไขเดี๋ยวนั้น 


หลังจากอาบน้ำอาบท่า สดชื่นกันแล้ว เราก็จะไปทานอาหารร้านหนึ่งใน Essaouira แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพื่อนร่วมเดินทางชาวออสเตรเลีย ถูกกระชากกระเป๋า เค้าคล้องคอด้านหนึ่งเป็นกระเป๋าตังค์ อีกด้านเป็นกล้อง compact ของเค้า คนกระชากคงคิดว่าจะกระชากกระเป๋าตังค์ แต่ได้กล้องไป ถ้าได้กระเป๋าตังค์ไปเรื่องใหญ่เลย เพราะมีพาสปอร์ต เครดิตการ์ดอยู่ด้วย พอคนกระชากๆ ไป มีคนมีน้ำใจเป็นชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่นั่น พยายามวิ่งตามไปแต่ไม่ทัน เราก็ซึ้งน้ำใจ แต่รู้ว่าไม่ได้คืนหรอก ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่นั่น เค้ารู้สึกว่าไอ้พฤติกรรมอย่างงี้จะทำให้คนไม่มาเที่ยวที่นี่ ต่างจากคนเจ้าของพื้นที่ที่ไม่รู้สึกว่าเค้าต้องรับผิดชอบส่วนนี้ น่าเสียดาย เสียความรู้สึกกันไป นิดหน่อย เพราะของสำคัญไม่หาย พอไปทานอาหาร ที่นี่ร้านอาหารเป็นแบบทันสมัย มีอาหารอิตาเลียนด้วย เป็นการเปลี่ยนจากที่ทานอาหารโมรอคโคมาเกือบจะสองอาทิตย์ละ ก็ดีเหมือนกัน ทานสปาเก็ตตี้จานเบ้อเริ่มไป อิ่มมากกกกกกก แต่ยังดีที่เดินพอสมควรกว่าจะกลับมาถึงที่พัก ก็ย่อยพอดี 555 


วันที่ 9 กุมภาพันธ์ เริ่มวันหลังจากทานอาหาร ก็ทำการเอาเสื้อผ้าไปฝากซัก โทรกลับบ้าน แล้วก็ออกไปสำรวจ medina แต่วันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบาย ปวดท้อง แต่ก็อยากออกไป medina ที่นี่ออกไปทาง art art หน่อย ขายสินค้าเหมือน medina ที่อื่นๆ ก็จริง แต่มีสินค้าศิลปหัตถกรรม ค่อนข้างเยอะ มีตรอกเล็กตรอกน้อยสีขาว สีฟ้า 

align=


align=

อันนี้เห็นแล้วก็อยากรู้จริงๆ มันจะได้ผลมั๊ย Viagra OTOP เนี่ย 555


นอกจากนี้ เมือง Essaouira ยังเป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบด้านที่ติดทะเล คือเคยเป็นเมืองป้อมปราการเก่าตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 16 

align=


align=


align=


ก็อิ่มเอมไปกับการเดินตอนเช้า แต่พอทุกคนจะไปต่อตอนบ่าย หลายคนอยากไปขี่ม้า ไป hamman เป็นการอาบน้ำ ขัดตัวแบบโมรอคโค หรือแบบอารับ เราต้องขอตัว เพราะปวดท้องสาหัส กลับมานอน 


เช้าวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ใครใคร่อยากออกไปชม Essaouira ก่อนออกจากที่นี่ ส่วนใหญ่ไปทำธุระเรื่อง ATM เรื่องไปรษณีย์ อะไรกันส่วนใหญ่ หลังจากทำธุระเสร็จเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางโดยรสบัส ไปที่ Marrakesh ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. ระหว่างทางก็แวะชมโรงงานผลิตเครื่องหอมจากน้ำมันต้นอะไรนะเนี่ย จำไม่ได้

align=


align=

อันนี้ตอนบีบเอาน้ำมันออกไปแล้ว


เมื่อไปถึง ก็ check-in เข้าโรงแรมเล็กๆ แต่ตกแต่งได้น่ารักมาก เรียก Moroccan house วางกระเป๋า พักขานิดหน่อย ก็ออกมาเดินชม Marrakesh และไปที่ Square Djemaa el Fna หรือก็คือตลาดใหญ่มีทุกอย่างคล้ายสวนลุมไนท์บ้านเรา คืนนี้ทานอาหารเย็นที่ตลาดนี้ ควันฟุ้งดีจริงๆ 

align=


align=


align=


align=


ระหว่างเดินทางกลับที่พัก ก็ได้เห็นบรรยากาศตลาดนี้ตอนกลางคืน มีทั้งโชว์ดนตรี โชว์งู มากมาย แต่เหนื่อยละ เดี๋ยวค่อยมาดูใหม่พรุ่งนี้ หลายคนก็ช๊อปปิ้ง เพราะหลังจากนี้เค้ากลับบ้าน เราต้องไปต่อกระเป๋าไม่มีพื้นที่ซื้อก็ชิ้นเล็กๆ จริงๆ ประเภทจะมาภาพวาด พรม อะไรนี่ ไม่เอาจ้าาาาา


วันที่ 11 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่ต่างคนต่างไป บางคนเริ่มแยกกลับ บางคนไปเรียนทำอาหารโมรอคโค บางคนเลือกจะไปเดินชมเมือง เราเลือกที่จะไปเดินชมเมือง 

align=


align=


align=


ไป Marjorelle Gardens เค้าบอกว่า เป็น tropical garden ที่สวย ขึ้นชื่อ เราก็ไป เอิ่ม ก็สวนพฤกษชาติ ที่ต้นไม้ เหมือนที่บ้านเรามี ก็ tropical น่ะ แต่เค้าแต่งสีสันจัดจ้าน ก็น่ารักดี แต่ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร แต่ที่ประทับใจคือส่วนนึงของสวน เป็นที่นั่งดื่มกาแฟ จิบชา จัดได้น่ารักมากๆ ก็ถือว่าเป็นการพักผ่อน หลังจากเดินทางหักโหมมาจะครบสองอาทิตย์แล้ว 

align=


align=


align=


และเราก็ย้อนไป Square Djemaa el Fna เพื่อดูว่าตอนกลางวันเป็นอย่างไร ระหว่างทางผ่าน art gallery หลายอัน ภาพเขียนน่าสนใจเยอะดี มีของฝากเป็นพวกหัตถกรรมเค้าเยอะ ต้องคอยห้ามใจตัวเองไว้ บอกตัวเองว่า แกยังต้องไปอีกหลายที่ นี่เพิ่งเริ่ม เดี๋ยวเงินหมด เกินงบ และจะเอากลับยังไง ถ้าส่งกลับ ค่าส่งอีก ห้ามใจไว้นะ 555

align=


align=


วันนี้ก็ถือว่าชิลด์ ๆ เป็นการชมเมือง แบบชมไปพักผ่อนไป 


ตกเย็นวันนี้ก็เตรียมตัวเก็บของ แลกเฟซ แลกภาพจากกล้องแต่ละคน ภาพนี้ไม่หวงเลย ใครอยากได้เอาไป 


เช้าวันรุ่งขึ้น วันที่ 12 กุมภาพันธ์ จะต้องต่างคนต่างไป เราบินจาก Marrakesh ไป Casablanca ก่อนแล้วต่อไป Madrid ประเทศ สเปนต่อไป


การเดินทางในโมรอคโค จะเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมเลย เป็นทริปที่ทั้งไกด์นำทาง ทั้งคนร่วมทริป เป็นคนที่น่ารักมาก และทุกวันนี้ก็ยังคอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเรื่อยๆ แม้ไม่บ่อย แต่มันทำให้เราจดจำประสบการณ์ที่เรามีด้วยกันได้เป็นอย่างดี ทั้งกลุ่มเป็นผู้หญิงหมดเลย ยกเว้นไกด์นำทางของพวกเราที่ชื่อคาลีด สี่คนเป็นชาวออสเตรเลีย โมนิก้า เจนนี่ เว็นดี้ และโบรเก็น หนึ่งคนเป็นชาวไอร์แลนด์ อนุสก้า และเราเป็นคนไทย แต่ละคนมีความชอบในเรื่องกิจกรรมบางอย่างที่เหมือนกัน คล้ายกันและไม่เหมือนกัน ช่วงอายุมีตั้งแต่ยังไม่สามสิบไปจนหกสิบกว่า แต่พวกเราไปด้วยกันได้ คุยกัน เล่นเกมตอนเย็นหลังอาหาร พร้อมดื่มเบียร์โมรอคโค ไปพร้อมๆ กัน มันเลยทำให้การเดินทางครั้งนี้ลงตัวที่สุดสำหรับคนที่เดินทางไปคนเดียว แล้วไปเจอเพื่อนร่วมทางเอาข้างหน้าอย่างเรา 

จบประสบการณ์การเดินทางของประเทศโมรอคโค แต่เพียงเท่านี้