ประเทศ Cuba ตอนที่ 1
Posted on May 10, 2014 13:44
Posted on May 10, 2014 13:44
ทำไมจึงเลือกไปคิวบา
การเดินทางไปคิวบานั้น คนไทยไม่ต้องทำวีซ่าไปล่วงหน้า สามารถซื้อวีซ่าได้เลยตอน check-in ที่เจ้าหน้าที่สายการบิน และประเทศนี้ประกันการเดินทางโดยปกติที่เราซื้อมาจากเมืองไทยก่อนเดินทางจะไม่รวมประกันในประเทศนี้ ดังนั้นต้องซื้อประกันภัยเพิ่ม แนะนำว่าต้องซื้อเพิ่มค่ะ เกิดอะไรขึ้นแล้วมันจะไม่คุ้มมากๆ
เรารู้จักคิวบาจากที่มีนักมวยไทยหลายคนเป็นเชื้อสายคิวบา แต่มาจากฟลอริด้า ประเทศอเมริกา รู้จักเค้าเป็นชาวละตินผิวดำถึงดำมาก (ดำจนเงานั่นแหละ) ดูน่ากลัว และยิงดูหนัง Hollywood ยิ่งเห็นว่าชาวคิวบาเป็นคนผิวดำ ร่างหนาๆ หน้าตาหน้ากลัว และมักจะเป็นผู้ร้าย ว่าแล้วจะอยากไปทำไมเนี่ย 555
จากภาพที่มีเกี่ยวกับชาวคิวบา จากการชกมวย จากหนัง จนได้มีโอกาสเดินทางไปฟลอริด้า และได้ไปพบว่าชาวคิวบาอยู่ที่ฟลอริด้าเยอะมากๆ จริงๆ เป็นจุดเริ่มทำความรู้จักประเทศนี้มากขึ้น เมื่อเริ่มศึกษาก็เห็นว่าประเทศนี้เต็มไปด้วยสีสัน คนชอบดนตรี แต่งตัวสีเจ็บแสบสัน และมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ รวมถึงชื่อคนสำคัญเช่น Batista, Castro, Che รวมถึงทำไมยังโดน Sanction จากสหรัฐแบบจริงจัง เมื่อเทียบกับเกาะที่เป็นที่พักผ่อนเช่น Barbados หรือ Cayman Island ที่ชอบมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวพักผ่อน เรากลับอยากรู้จักประเทศนี้จริงๆขึ้นมา มากกว่าที่จะไปเพื่อเที่ยวเกาะ Carribean เท่านั้น
ถ้าถามชาวคิวบา เค้าบอกชาวคิวบาในอเมริกาน่าจะประมาณ 3 ล้านคน แต่ถ้าดูจากตัวเลขอย่างเป็นทางการน่าจะประมาณ 1 ล้านเท่านั้น และ 70% ของชาวคิวบาที่อพยพมาที่อเมริกาจะอาศัยอยู่ที่ฟลอริด้า
คิวบาเป็นประเทศในแถบทะเล Carribean ถือว่ายังเป็นส่วนหนึ่งของทวีปอเมริกาเหนือ ประเทศยังคงปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ นั่นแปลว่ามีพรรคการเมืองที่ปกครองทั้งประเทศพรรคเดียวคือพรรคคอมมิวนิสต์ และรัฐเป็นเจ้าของกิจการทุกอย่าง ประชากรทุกคนถือเป็นลูกจ้างของรัฐบาล มีรายได้เป็นเงินเดือนจากรัฐบาล เช่นคนที่มีอาชีพปลูกพืช ทำไร่ ก็ได้รับค่าจ้างจากรัฐ ส่วนผลผลิตที่ได้เป็นสมบัติของรัฐ ส่วนหมอ ทนายความ ก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ กินเงินเดือนจากรัฐ เป็นหมอและทนายความในองค์กรของรัฐ
ประชากรประเทศคิวบาประกอบไปด้วยชาว Mesoamerican คือชาวอเมริกากลาง หลายเผ่าพันธ์มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ก่อนที่ Christopher Columbus นักเดือนเรือขาวอิตาลีจะพบในปี 1492 และได้เคลมว่าที่นี่ถือเป็นแผ่นดินในปกครองของสเปน คิวบาถือเป็นเมืองขึ้นของสเปนจนถึงปี 1898 ที่สงครามสเปน-อเมริกาเกิดขึ้น คิวบาก็ตกเป็นของอเมริกาอยู่พักหนึ่งจนได้ประกาศตนเป็นอิสระจากอเมริกาเมื่อปี 1902 ปกครองในระบอบประชาธิปไตย หลังจากนั้นเป็นต้นมาภายในประเทศก็ไม่ได้ว่าสงบ เกิดปัญหาทางการเมืองและสังคมภายในประเทศอย่างต่อเนื่องและรุนแรงขึ้น จนเมื่อปี 1952 ประเทศก็ได้อยู่ภายในอำนาจการปกครองแบบเผด็จการภายในการนำของประธานาธิบดี Fulgencio Batista ปัญหาก็ยังคงมีอย่างต่อเนื่องจนกระทั่ง Batista ถูกขับไล่ออกจากประเทศในปี 1959 หลังจากนั้น Fidel Castro ก็ได้ปกครองบริหารประเทศในระบบสังคมนิยม ต่อมาเมื่อปี 1965 คิวบาก็ได้เปลี่ยนการปกครองประเทศเป็นแบบคอมมิวนิสต์พรรคเดียว นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ประเทศคิวบาเป็นประเทศที่ถือว่าให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก รัฐอุปถัมภ์ทั้งการศึกษา ค่ารักษาพยาบาลและให้ประโยชน์ค่าอาหาร อย่างเช่นรัฐแจกเหมือนคูปองให้ไปรับอาหารฟรีบางรายการกับหน่วยงานรัฐ และคำนวณให้ตามจำนวนหัวต่อครัวเรือน และถ้าใครอยากจะเรียนได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียนทั้งหมด ไม่ว่าจะปริญญาตรี โท เอก แต่ข้อจำกัดคือถ้าจะเรียนต้องเรียนอย่างเดียว ห้ามทำงาน ดังนั้น ถ้าหากมีพ่อแม่ที่พอส่งเสียเรียนได้ ก็เรียนไปเลยจนกว่าจะไม่อยากเรียนแล้ว แต่ถ้าใครที่ไม่ได้มีพ่อแม่ส่งเสีย ก็จะลำบากมาก เพราะรัฐไม่ให้ทำงานไปเรียนไปด้วยได้
ประเทศที่ประชากรต้องรับรายได้จากรัฐเพียงอย่างเดียวนั้น แน่นอนรายได้ไม่ได้เยอะ อันนี้ได้รับการบอกเล่าจากคนท้องถิ่นว่า หมอ ทนายความ เป็นต้น รายได้คิดเป็นเงินไทยเดือนละ 600 บาทต่อเดือนเท่านั้น (น่าตกใจมาก) คงไม่ต้องแจงรายละเอียดมากไปกว่านี้ว่าเค้าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้เค้าอยู่รอดได้
สองปีหลังจากการปฏิวัติครั้งสำคัญในประเทศคิวบา ที่ Castro ได้อำนาจจาก Batista แล้วนั้น ในปี 1960 อเมริกาก็ได้มีข้อห้ามส่งออกสินค้าจากอเมริกาเกือบทุกรายการยกเว้นน้ำและอาหาร อีกไม่นานต่อมาก็ห้ามทุกรายการ เพราะอะไร ก็เพราะว่าในช่วงปฏิวัติเรียกอำนาจคืนจาก Batista รัฐบาลใหม่ได้ยึดทรัพย์สินทั้งหมดของอเมริกาในประเทศเอาเป็นของตัวเอง และยังเปลี่ยนระบอบการปกครองไปในทิศทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น นั่นเลยเป็นสาเหตุที่อเมริกายังยึดกฎการห้ามทำการค้าขายกับคิวบาอยู่จนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าจะมีความพยายามหลายครั้งแต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่สำเร็จ ระหว่างที่ได้รับการ sanction จากอเมริกา คิวบาก็หันไปเป็นมิตรกับโซเวียตรัสเซีย สมัยยังเป็นโซเวียตรัสเซีย ต่อมาโซเวียตรัสเซียเองก็มีปัญหาต้องยกเลิกการเป็นโซเวียตรัสเซีย และแตกประเทศออกมากมาย ทำให้คิวบาต้องหันไปพึ่งจีนมากขึ้น
จากประวัติศาสตร์ของประเทศ จะเห็นว่าคิวบา แทบไม่มีความสงบเลยตั้งแต่สงครามระหว่างสเปนกับอเมริกาก็ว่าได้ แต่ความวุ่นวายได้เกิดขึ้นแบบสูงสุดในช่วงระหว่างการปกครองโดย Batista ต่อมาโดย Castro รวมถึงการถูก sanction โดยอเมริกา นั่นคือที่นี่ไม่มีสินค้าจากอเมริกา หรือสินค้าที่ผลิตจากที่อื่นทั่วโลกที่มีอเมริกาเกี่ยวข้องเลย เช่นไม่มีอาหาร ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ อินเตอร์เนท หนัง เพลง บัตรเครดิต ทุกอย่างจริงๆ ทำให้โอกาสในการรับรู้ สัมผัสในสิ่งที่คนทั้งโลกได้สัมผัสไม่มี หรือแทบไม่มีเลย เมื่อเทียบกับคอมมิวนิสต์ประเทศอื่น เช่น จึน หรือรัสเซีย ที่เปิดมากแล้ว คิวบายังถือว่าปิดอยู่มาก คงไม่ต่างอะไรมากกับพม่าก่อนหน้าจะเปิดประเทศ
นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมชาวคิวบาจึงอยากจะอพยพออกจากประเทศของตัวเองทุกลมหายใจเมื่อมีโอกาส เพราะเค้าได้รับข่าวสารจากญาติพี่น้องและเพื่อนที่ได้อพยพออกไปแล้ว นั่นเอง
พวกเราคงคุ้นเคยกับชื่อ Che หรือ Che Guevara หรือชื่อเค้าคือ Ernesto Guevara
จริงๆแล้ว Che เป็นภาษาสเปน แปลว่าสหาย หรือพี่ ในภาษาอังกฤษก็ประมาณว่า mate, pal, man, dude, bro ประมาณนี้ ชาวคิวบาเรียก Guevara ว่า Che Guevara เป็นชาวอาร์เจนตินา นอกจากนี้ยังเป็นนักปฏิวัติที่เชื่อในทฤษฏีของมาร์กซิสต์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง นักเขียน นักการทหาร เค้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติครั้งสำคัญในคิวบา หรือ Cuban Revolution เพื่อยึดอำนาจคืนกลับมาจาก Batista นั่นเอง นอกจากนี้เค้ายังร่วมเคลื่อนไหวทางการเมือง การทหารในอีกหลายประเทศเช่นคองโก เป็นต้น Che ได้รับการยอมรับและชื่นชมเป็นวงกว้างในประเทศคิวบา และอีกหลายประเทศในตะวันออกกลาง และแอฟริกาด้วย
บันทึกค่อนข้างยาว เพราะประเทศนี้ถือว่าเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจมากเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การปกครอง การต่อสู้เพื่อความอยู่รอดและความเป็นตัวตนที่แท้จริงของขาวคิวบา ทั่วทั้งประเทศจะเห็นว่าชาวคิวบายังจำภาพการปฏิวัติที่เกิดขึ้นได้ สิ่งปลูกสร้างมากมายในเกือบทุกเมืองเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การปฏิวัติ และยังเป็นเรื่องที่คนทั้งประเทศพูดถึงเป็นจำนวนมาก
เอาล่ะ ได้เวลาเริ่มทริปในประเทศคิวบาแล้ว การเดินทางครั้งนี้มีเส้นทางที่ครอบคลุมจากเมืองหลวง Havana ไปทางตะวันออกจนถึง Baracoa แล้วกลับ ใช้เวลาทั้งหมดสองสัปดาห์ เนื่องจากเป็นประเทศที่ยังมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย การติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกยังจำกัด แถมเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงเอเชียจะเดินทางมาคนเดียว ดังนั้น เราเลยจองทริปกับบริษัทของชาวแคนาดามา เพื่อจะได้เดินทางไปกับกลุ่มนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ
8 กันยายน 2555
ออกเดินทางจาก Vancouver ประเทศแคนาดาตอนเกือบเที่ยงคืนของวันที่ 7 เพื่อมาให้ถึงฮาวานาในเช้าวันที่ 8 เราได้เจอกับนักเดินทางชาวออสเตรเลียที่สนามบิน Toronto (Vancouver-Toronto-Guatemala city-Havana) ที่พอคุยกันพบว่าเค้ามาทริปเดียวกันเลย ช่างบังเอิญ และเค้าก็เป็นผู้หญิงคนเดียวเช่นกัน เราเลยมีเพื่อนร่วมเดินทางตั้งแต่ตอนนั้นเลย
พอจะมองเห็นแล้วว่าการ sanction โดยอเมริกา ก็คือไม่มีน้ำอัดลมยี่ห้อ โค๊ก หรือเป๊ปซี่ หรือยี่ห้ออื่นๆ ที่เป็นของอเมริกาบนสายการบินแห่งชาติของคิวบา
พอบินมาถึงสนามบินฮาวานา ตอนนั้นเป็นเวลาตีสามกว่าเกือบตีสี่ เราได้จองรถรับส่งของโรงแรมก่อนล่วงหน้า แต่แล้วก็ไม่มีรถมารับ (อันนี้ขอให้ถือเป็นอุทาหรณ์เลยว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นประจำถ้าหากว่าเราจองรถช่วงเวลาที่คนเค้านอนกันแล้ว คนขับรถมักจะไม่มาซะดื้อๆ อย่างนั้นแหละ) ไม่คุ้นบวกกับชื่อเสียงที่เราได้ยินมาใช่ว่าจะดีเลิศ และเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ทำให้ต่อมความระแวงพุ่งปรี๊ดดดด ทวีคูณ ยังคิดอยู่เลยนี่ถ้ามาคนเดียวจริงๆ จะรอดมั๊ยเนี่ย แต่เนื่องจากมีกันสองคน เราก็หาแทกซี่กันตรงนั้นเลย แลกเงินที่สนามบินให้เรียบร้อย ที่นี่มีเงินสองสกุล เป็นเปโซ ของพื้นเมืองจริง อันนี้แทบไม่มีค่าอะไรเลย เป็นเงินที่ใช้ในประเทศเท่านั้น แต่ถ้าต้องการเทียบเคียงหรือซื้อขายแบบสากลจะเป็น Cuban Convertible Peso อันนี้ 1 เปโซ เท่ากับ 1 ดอลล่าร์อเมริกา งงเล็กน้อยตอนแรก เอาเป็นว่าเราไปใช้ Peso สากลหรือค่าเท่ากับหนึ่งเหรียญสหรัฐ แต่ถ้าไปตามพื้นเมื๊องพื้นเมือง เค้าจะยังใช้เปโซเดิม เราก็ควรแลกติดไว้ในมูลค่าสองสามเหรียญสหรัฐเท่านั้น เพราะแลกคืนไม่ได้ แลกแล้วต้องใช้ให้หมด
เราสองคนเดินทางถึงโรงแรมแบบปลอดภัย คนขับรถน่ารักมาก ไม่ได้ดุหรือน่ากลัวเหมือนลักษณะหน้าตาสีผิวเค้าเลย ก็ทิปไปเยอะหน่อย เพราะถือว่าถึงอย่างปลอดภัย
ที่เด็ดมากคือไปถึงโรงแรม เราสองคนเหนื่อยมาก เราเดินทางมาจาก Alaska ต่อมา Vancouver และต่อไป Toronto จอดที่อเมริกากลาง แล้วมาถึง Cuba ค่อนข้างยาวมากการเดินทาง ส่วนชาวออสเตรเลียบินไกลมากจาก Perth มา Toronto จนมาถึง Cuba การเดินทางอันยาวนาน เราสองคนอยากจะนอนเดี๋ยวนั้น เรากะมาเช่าห้องนอนเอาตอนมาถึง เพราะไม่รู้ว่า flight จะ delay หรือไม่อย่างไร ส่วนชาวออสเตรเลียจองห้องพักมาก่อนล่วงหน้า เพราะตามกฎเช็คอินตอนบ่ายสอง ถ้ามาถึงก่อนและจะเข้าพักก็ต้องจ่ายอีกหนึ่งคืน ไม่รวมกับทริปที่จองไว้ ก็ถือว่าเป็นกฎสากล แต่ปรากฎว่าไม่มีบันทึกการจอง และเจ้าหน้าที่จะไม่ให้พักซะงั้น เหนื่อยก็เหนื่อยพูดกันอยู่นานมาก เราสองคนก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร ไม่มีบันทึกการจอง เดี๋ยวเราก็เช่าห้องใหม่ พรุ่งนี้เจอเจ้าหน้าที่ของบริษัททัวร์แล้วค่อยว่ากันสำหรับไอ้ที่จองและจ่ายเงินไปแล้ว เพราะอยากจะนอนเหลือเกินบวกกับอารมณ์เสียเปล่าๆ ต้องมาทะเลาะกันตอนตีสี่เนี่ย
ในที่สุดก็ได้ห้องพัก ชาวออสเตรเลียได้ห้องที่เค้าต้องนอนกับ buddy เค้าในวันรุ่งขึ้น เราเช่าต่างหาก เพราะไม่ได้เช่าไป นอนคนเดียว เด็ดขึ้นไปอีก พอไปถึงห้องพัก แม่เจ้าห้องสกปรกมาก ไม่ได้ทำความสะอาด เราต้องเดินลากกระเป๋าลงไปโวยวายอีก เค้าจึงเปลี่ยนห้องให้ เนื่องจากห้องธรรมดาไม่มี ได้พักห้องใหญ่โผดๆ แต่จังหวะนี้ไม่สนละจะเล็กจะใหญ่ ขอให้สะอาด จะนอน ง่วงงงงงงงงงง
เช้าวันรุ่งขึ้น ตื่นสายมาก ลงมาหมดเวลาอาหารเช้า แต่ไม่เป็นไร ที่นี่ได้ชื่อว่ากาแฟดี เราก็เดินออกไปชมฮาวานาซะเรย และไปนั่งจิบกาแฟหอม อร่อยที่ร้านกาแฟพื้นเมืองใกล้ๆ แถวนั้นช่วยให้เช้าวันใหม่ที่หัวยังตื้อๆ เพราะนอนไม่พอ สดชื่นขึ้นมานิดนึง เสร็จแล้วก็เดินดูรอบๆ นิดนึง เมืองฮาวานาถือว่าเป็นเมืองที่ได้เป็นมรดกโลก เพราะสถาปัตยกรรมอาณานิคม ที่ยังคงแบบเดิมไว้อย่างเห็นได้ชัดและยังสวยงามอยู่
คนนำทริปเราเป็นชาวคิวบาโดยกำเนิด เป็นหนุ่มหน้าตาดี หุ่นดีมากคนหนึ่ง ผิวไม่ดำมาก แบบชาวคิวบาที่เราคุ้นเคย ตอนหลังมารู้ว่าเค้าเป็นลูกเสี้ยวสเปน มิน่าล่ะ เค้าพาภรรยาและลูกมาด้วย ภรรยาเป็นชาวคิวบาและคิดว่าเป็นลูกผสมเช่นกัน หน้าตาดีมาก สองคนนี้เป็นดาราได้เลย ไม่ต้องบอกว่าลูกจะน่ารักขนาดไหน และพูดภาษาอังกฤษอย่างชาวอเมริกัน แทบไม่มีสำเนียงชาวท้องถิ่นอยู่เลย กิริยามารยาท เป็นแบบสากลมากด้วย บ่งบอกว่าเค้าทั้งสองคนได้รับการศึกษาที่ดีขนาดไหน เป็นอันว่าอุ่นใจที่จะมีคนอย่างนี้ดูแลพวกเราไปตลอดสองอาทิตย์ในประเทศนี้
วันนี้ช่วงบ่าย คนนำทริปเรามาพาเราสำรวจฮาวานา ก็เดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอย แถบที่ชาวพื้นเมืองอยู่ ส่วนที่เป็นบริเวณที่นักท่องเที่ยวอยู่เยอะ ก็มีความแตกต่างกัน
เหนื่อยก็เลยพักดื่มน้ำที่นี่ และวิวมองจากบนนี้ก็เห็นเมืองจากด้านบน
หายเหนื่อยก็เดินต่อไปยังอีกด้านที่มุ่งหน้าไปทางทะเล
ที่คิวบาโดยเฉพาะในเมืองฮาวานา จะเห็นว่ามีรถเก่าอเมริกัน สีสันสวยงามมากมายที่นี่ รถเหล่านี้เป็นรถอเมริกันที่เคยมีในประเทศก่อนการห้ามนำเข้าส่งออกสินค้าจากอเมริกาไปยังคิวบาเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน ดังนั้นเราพอเดาอายุรถได้ก็ห้าสิบกว่าปีหรือหกสิบปีแล้ว แต่ยังขับได้ เพราะอะไร เพราะเครื่องยนต์เป็นแบบเก่าที่ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมาก (อันนี้คนที่มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์รถบอก) ดังนั้นการซ่อมเพื่อให้ยังใช้งานได้อยู่จึงเป็นเรื่องไม่ยากนัก ทำให้คิวบามีรถ classic สวยๆ แบบนี้เยอะเลย แต่ไม่มีรถใหม่เลย ก็กลายเป็นความเฉพาะของที่นี่ไปอีกแบบ
ทำให้เราได้มีโอกาสสำรวจร้านรวงของเค้า และก็พบว่าคำว่า sanction จากอเมริกา ก็ยิ่งเด่นชัด ไม่มี coke, pepsi ไม่มีแชมพูให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ มียี่ห้อเดียว ขนาดขวดเดียว ไม่มีขนมขบเคี้ยวยี่ห้อต่างชาติเลย ไม่มีอะไรเลย เสื้อผ้าที่ขายเป็นแบบธรรมดาไม่มีให้เลือกหลากหลาย จะมาหลากหลายยี่ห้อ หลายสี หลายกลิ่น หลายขนาด ไม่มีใดๆทั้งสิ้น ณ วินาทีนั้น ทำให้เรารู้สึกถึงความโชคดีที่ได้เกิดบนแผ่นดินไทย ที่มีอิสรภาพ มีทางเลือกมากมาย (แต่ก็ไม่วายจะบ่นอยู่นั่นแหละ) คนที่นี่มีโอกาสน้อยมาก ใช้ชีวิตแบบพื้นๆ ที่สุด อินเตอร์เนทมีให้ใช้อย่างจำกัด และช้าาาาาาาาาาาามากกกกกกกกกกกก อีกอย่างโทรศัพท์ roaming ไม่มีบริการสำหรับทุกเครือข่ายจากบ้านเราในคิวบา ดังนั้น ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีอินเตอร์เนท คิดบวก ดีเหมือนกัน คิดซะว่าแยกตัวออกจากโลกภายนอก ให้ชีวิตที่คิวบานี้ให้ดื่มด่ำไปกับวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่มีตัวเลือกมากมาย back to the basic อีกครั้ง
ตกค่ำมา เราก็มาทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมกลุ่มมากขึ้น เพื่อนร่วมกลุ่มประกอบไปด้วยชาวไอร์แลนด์ อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฮอลแลนด์ เป็นคนไทยและคนเอเชียคนเดียวในกลุ่มเช่นเคย
9 กันยายน 2555
พวกเราเดินทางออกจากฮาวานา เมืองหลวงมุ่งหน้าไปยังเมือง Santa Clara ระยะทางประมาณ 260กม. ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง
ระหว่างทางเราได้แวะที่ Parque Nacional Cienaga de Zapata ที่อยู่ในจังหวัด Matanzas ส่วนด้านหน้าอุทยานก็จะมีกรงสัตว์นานาชนิด ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ถ้าหากเทียบกับบ้านเรา แวะพักนิดนึง เข้าห้องน้ำห้องท่าแล้วก็เดินทางต่อ
หลังจากนั้นก็แวะพักทานข้าวกลางวันกลางทาง ที่ Guama (สไปร์ทในรูปเป็นสินค้านำเข้าแบบไม่ค่อยถูกกฎหมาย เอาไว้ขายนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ) Guama เป็นเมืองที่ในอดิตเป็นเมืองด่านที่ต่อสู้กับการบุกรุกของชาวสเปนเมื่อช่วงปี 1530s
หลังจากทานอาหารกลางวันเราได้นั่งเรือไปอีกซึ่งจะเป็นการจำลองวิถิชีวิตของคนพื้นเมืองเมื่อสมัยก่อนที่อาศัยอยู่แถบนี้ น่าสนใจไปอีกแบบ
หลังจากนั้นเราก็ไปแวะที่ Playa Giron ซึ่งยังถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของ Cienaga de Zapata เริ่มจากการถ่ายรูปกับพิพิธภัณฑ์ 555 พิพิธภัณฑ์นี้เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ที่ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความขัดแย้งในอดิตไว้
Playa Giron ถือว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกที่ เพราะเป็นหาดที่ทางอเมริกาเคยส่งพลขึ้นบกทางนี้เพื่อแอบเข้าประเทศเพื่อต่อสู้กับรัฐบาล Castro
และไปเล่นน้ำทะเลที่หาดด้วย น้ำใสมั่กมัก
ถือว่าได้เล่นน้ำที่ทะเล Carribean เป็นครั้งแรกละ อิอิ
ช่วงบ่าย เราก็มาถึง Santa Clara หลังจากเอาข้าวของเก็บเข้าที่ในห้องพักเรียบร้อย ที่พักเป็น home stay แต่ละบ้านรับได้แค่สองถึงสี่คนเท่านั้น แต่ละบ้านก็จัดอาหารเย็นไว้ให้เราทาน หลังจากทานอาหารค่ำ เราก็ออกสำรวจเมืองเล็กๆ เมืองนี้ แม้ว่าจะเล็กแต่ก็เต็มไปด้วยสีสัน ผู้คนออกมานั่งตามบาร์ ร้านอาหาร ฟังดนตรี salsa และก็เต้นไป เอวพริ้วมาก ชาวคิวบานะ ไม่ใช่เรา ระหว่างดื่มเหล้ารัม หรือจะเป็นคอกเทลต่างๆ ที่มีรัมเป็นส่วนผสม เพราะรัมเป็นเครื่องดื่มอัลกอฮอล์อันดับหนึ่งของคิวบา นอกจากนี้มีซิการ์ให้ลองสูบด้วยถ้าใครใคร่จะลอง
หลังพ่อหนุ่มไม่น้อยคนนี้เต้นกับคุณพี่ผู้หญิงคนนี้แล้ว เค้าก็หันมาคว้าแขนเราบอกว่ามาลองเต้นเป็นภาษาสเปนที่เราไม่ได้ว่าจะรู้เรื่อง แต่ก็ลองลุกขึ้นไปเต้น แหมมมมม ให้รู้ว่านับจังหวะไม่ได้ (ทั้งๆที่ฟังดูไม่น่ายาก) เอวก็ไม่ไกว ลองอยู่หลายรอบ เลิก เลิก ไม่มีทักษะจริงๆ ขอบอก 555 แต่คนที่นี่น่ารักมากอ่ะ เป็นมิตร
แต่ใช่ว่าจะทุกคน ระหว่างที่พวกเรานั่งกันเป็นกลุ่มดื่มๆ คุยๆกันอยู่ เรารู้สึกว่าเราถูกจ้อง แบบแทบจะเรียกว่าทะลุเข้าไปในหัวเราเลย เรามองไปรอบๆ เห็นผู้ชายหน้าตาหน้ากลัวคนหนึ่งตั้งใจจ้องมาที่เราอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ จังหวะนั้นขนลุกซุ่ และหันมาบอกเพื่อนร่วมโต๊ะให้หันไปมองให้หน่อยว่าเราอุปทานหรือเปล่า ทุกคนหันมามองและบอกว่าเค้าจ้องจริงๆ หรือเป็นเพราะว่าเราเป็นคนเอเชียคนเดียวในกลุ่มหรืออย่างไร เอาแล้วไง จากนั้นไม่กล้าเดินไปไหนคนเดียวเลย นั่งติดกับกลุ่มตลอด ผ่านไปสองสามชั่วโมง เค้าก็เลิกและหายไป แต่ความรู้สึกกลัวของเราไม่หายไป กลายเป็นว่าจะไม่ไปไหนคนเดียวเด็ดขาด
Santa Clara ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่สำคัญอีกเมืองของการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อปี 1959 นั่นเอง และเป็นบ้านของ Ernesto Che Guevara เพราะมีรูปปั้นของเค้าที่ Plaza de la Revolución เถ้าของเค้าหลังจากที่เค้าจบชีวิตลงที่โบลิเวียได้ถูกนำมาเก็บไว้ในสุสานของเค้าที่นี่ด้วย
ตอนต่อไปจะมาเล่าการเดินทางจาก Santa Clara ไป Trinidad ต่อไป Camaguay ให้ฟัง ประสบการณ์ที่คิวบานี้คงต้องใช้ถึง 3 ตอนกว่าจะจบ คอยติดตามนะคะ
#thaitraveltheworld