ประเทศตุรกีเป็นประเทศที่อยู่บนสองทวีปตะวันออกก็เป็นเอเชีย ตะวันตกก็ยุโรป เป็นประเทศที่มีหลายทะเลแวดล้อม ด้านเหนือ เป็นทะเลดำ ด้านล่างเป็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนด้านตะวันตกเป็นทะเลอีเจียน (Aegean) และตรงใต้ Istanbul เป็นทะเลมามาร่า (Mamara) ทะเลนี่แหละที่เป็นตัวแบ่งว่าด้านตะวันตกของทะเลนี้ถือเป็นยุโรป และด้านตะวันออกไปเป็นเอเชีย สรุปคือตุรกีมีพื้นที่อยู่ในเอเชียมากกว่ายุโรป
ประเทศปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย คนในชาติส่วนใหญ่เป็นมุสลิม
อะไรทำให้ตุรกีเป็นที่ที่คนอยากไป คงเป็นเพราะความหลากหลายทางวัฒนธรรมเมื่อครั้งโบราณกาลจนถึงปัจจุบันที่หล่อหลอมให้เป็นตุรกีแบบทุกวันนี้ ถ้าย้อนกลับไปประวัติศาสตร์ประเทศนี้เคยปกครองโดยกรีกโบราณรวมถึง Alexander the Great ด้วย และต่อมาจึงถูกทาง Seljuks (ชาวเปอร์เซียนจากแถบทะเลแคสเปี้ยน) เข้ายึด ต่อมาเข้าสู่ยุค Ottoman จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ยุค Ottoman ก็เสื่อมลง ต่อมาตุรกียังมีสงครามเพื่อเอกราชอีก ที่มีการแลกเชลยกัน เอาชาวกรีกกลับไป เอาชาวมุสลิมกลับมาที่ตุรกี พอสังเขปเพื่อให้รู้ว่านี่สิ่งที่ทำให้ประเทศนี้มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมทำให้ประเทศนี้มีทั้งเมืองโบราณแบบโรมัน สนามรบ และมัสยิดสวยๆ ให้ดู
นอกจากนี้ประเทศนี้ยังมีความหลากหลายทางภูมิประเทศและธรณีวิทยาที่น่าสนใจ เช่นที่ Cappadocia ที่ Pamukkale เป็นต้น
อีกอย่าง การมีบรรพบุรุษเป็นชาวเปอร์เซียและชาวกรีก (มันต้องมีผสมข้ามกันบ้างแหละ) ทำให้ชาวตุรกีหน้าตาหล่อสวยมากอ่ะ อิอิ อันนี้สาวๆ คงไม่ปฏิเสธ
ทั้งหมดนี้ทำให้ตุรกีเป็นสถานที่ที่หลายๆ และเชื่อว่านักเดินทางทุกคนต้องมีอยู่ใน bucket list ของตน
เส้นทางในตุรกีที่จะไป ตามนี้เลยค่ะ
2 มิถุนายน 55
บินจากสนามบิน Aman ที่จอร์แดน ไป Istanbul ตุรกี ไปถึงตอนบ่าย relax นิดหน่อย Istanbul สวยจริงๆ อย่างที่เห็นในภาพ
แล้วก็ออกไปทานอาหารตุรกีมื้อเย็นเป็นมื้อแรก ที่ร้าน Ozler restaurant เป็นร้านอาหารในย่าน Serkeci
3 มิถุนายน 55
เช้าวันนี้ออกสำรวจจุดสำคัญของ Istanbul แถวเมืองเก่าต้องไป ก็จะมี
Sultan Ahmen Mosque หรือ Blue Mosque เหตุที่ถูกเรียก Blue Mosque เพราะที่นี่ตบแต่งด้วยกระเบื้องสีน้ำเงินที่สวยงาม เป็นมัสยิดที่ถูกสร้างตั้งแต่ ปี 1609 to 1616 ตั้งแต่สมัยสุลต่าน Ahmen ที่ 1
ใกล้ๆ กันกับ Blue Mosque ก็เป็น Hagia Sophia เคยเป็นโบสถ์ออโธดอกซ์เมื่อสมัยโรมัน ต่อมาเป็นมัสยิด ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่นี่สวยกว่า Blue Mosque
Topkapi Palace เป็นพระราชวังใหญ่ใน Istanbul เคยเป็นที่พักหลักของสุลต่าน Ottoman พระราชวังนี้เป็นหนึ่งในมรดกโลก
Hippodrome สมัยโบราณก็คือสนามกีฬา แต่ปัจจุบันก็ไม่มีสภาพเป็นสนามกีฬาแล้วล่ะ เพราะพื้นที่ได้ถูกใช้งานเป็นอย่างอื่นแล้ว ปัจจุบันก็เป็นสแควร์ที่มีแท่ง Obelisk ให้เห็นอยู่
เชื่อหรือไม่ Istanbul มีนักท่องเที่ยวปีละประมาณ 12 ล้านคนในปี 2012 (เราเป็นหนึ่งในคนทำสถิตินี้ อิอิ) แต่ยังห่างไกล Bangkok ของเรานัก ของเราโน่นปาไปเกือบ 16 ล้านคน ในปี 2012 กรุงเทพชนะลอนดอนไป 1% มาอยู่อันดับ 1 (ดีใจนะเนี่ย) ส่วน Istanbul เป็นอันดับ 6 เด๋วจะหาว่ายกเมฆ ดูได้ตามนี้เรย http://insights.mastercard.com/wp-content/uploads/2013/05/MasterCard_GDCI_Final.pdf
หลังจากชม Istanbul ในเวลาหนึ่งวันท่ามกลางอากาศร้อนพอควร แล้วค่ำนี้เราก็นั่งรถบัสแบบรถเอนนอนได้ หลับไปทั้งคืน
4 มิถุนายน 55
เช้าก็มาถึง Kayseri จากนี้ เรายังต้องนั่งรถต่อไปอีก 1 ชั่วโมงเพื่อไปที่ Cappadocia แวะที่ Derinkuyu Underground City เมืองใต้ดินสมัยโบราณ ตั้งแต่ 700-800 BC เป็นลักษณะการทำเมืองใต้ดินเพื่ออยู่อาศัย ทำเป็นหลายชั้น สามารถจุคนได้ถึง 20,000 คน รวมทั้งปศุสัตว์ที่เลี้ยงและผลผลิตการเกษตรที่ผลิดได้อีก จากการศึกษาของนักโบราณคดี เชื่อว่าถ้ำนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของดินหินภูเขาไฟ และทำให้เกิดเป็นถ้ำที่สามารถใช้ประโยชน์ได้แบบนี้ และมีการขยับขยายเมื่อยุคที่ชาวเปอร์ครองพื้นที่และได้ใช้เมืองนี้เป็นที่ตั้งของผู้ลี้ภัย
ช่วงบ่ายๆมาถึง Cappadocia ที่มีลักษณะทางธรณีวิทยาที่มีความเฉพาะมาก ลักษณะนี้เกิดจากการก่อตัวจากเถ้าภูเขาไฟ เมื่อหลายๆพันปีที่แล้ว ก่อตัวจากเถ้าเป็นหินและมีการกัดกร่อนทางธรรมชาติต่อเนื่องจนเกิดลักษณะรูปร่างของหินที่แตกต่างกันมากมาย เป็น Cappadocia ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ ธรรมชาติสร้างสรรค์สิ่งที่สวยงามแตกต่างให้เราได้เห็นจริงๆ
วันนี้เข้าพักที่ Peri Cave hotel อยู่ที่ Göreme เป็นโรงแรมที่สร้างห้องพักในหินแบบนี้แหละ น่ารักดี
คืนนี้ก็ไปเดินชม Göreme หาที่ซักผ้ากันดีกว่า ว่าแล้วก็เดินไปหาร้านซักรีด กดตังค์ จบด้วยทานอาหารแบบชิลล์ๆ พร้อมทำความรู้จักเพื่อนใหม่ๆ ชิลล์ๆ วันนี้ เพราะรู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องเดินไกลและร้อนทีเดียว
5 มิถุนายน 55
วันนี้หลังจากขับรถไปถึง trail ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Akvadi (White Valley) แล้ว ก็เดินผ่านสวนผลไม้ ไร่องุ่นไปตาม trail
อันนี้ฉลาดมาก เพราะรู้ว่าคนเดินมาถึงตรงนี้ แน่นอนต้องหิวน้ำ เอาน้ำส้มคั้นมาขาย ราคาเท่าไหร่ก็ซื้ออ่ะ ทั้งเหนื่อยทั้งร้อน
เพื่อไปถึง Uçhisar ขึ้นไปป้อมปราการด้านบน เพื่อมองลงมาจะเห็น Valley ที่สวยงาม
เดินไกลมากขอบอก มาถึงธงนี้ถือว่าถึกมาก ก็ต้องถ่ายรูปฉลองความแข็งแรงของสาวไทย 555
มองลงไปก็วิวสวยงี้เลย
หลังจากนั้นก็เดิน trail ที่ Pigeon Valley ก่อนกลับ Goreme
ระหว่างทางแวะทานอาหาร เมนูแนะนำต้องนี่เรย Pottery Kebab
และก็แวะโรงงานพรมกับเครื่องปั้นดินเผาด้วย แต่ก็ไม่แตกต่างจากที่เห็นมาจากโมรอคโคเท่าไหร่
คืนนี้จบประสบการณ์ที่ Cappadocia ด้วยการไปดูโชว์ที่เรียกว่า whirling dervish sema เป็นการเต้นในพิธีกรรมทางศาสนาอย่างหนึ่งของชาวมุสลิม การเต้นแบบนี้คล้ายการทำสมาธิอย่างหนึ่ง เป็นการเต้นเพื่อระลึกถึงพระเจ้า ลดละกิเลสและอัตตาของตน และการหมุนๆ เป็นการเลียนแบบการหมุนรอบดวงอาทิตย์ของระบบสุรยะจักรวาล
ระหว่างชมการเต้นก็กินไปดื่มไป ที่นี่มีการดื่มเครื่องดื่มอัลกอฮอร์ที่แปลกมาก คือ Raki เป็นเหล้าขาวของที่นี่ หมัก กลั่นจากองุ่น ระดับ 45 ดีกรี ดื่มไปอึกนึง แม่เจ้า วาบไปตลอดทางตั้งแต่คอลงไปรู้หมดถึงไหนถึงไหน ชิมให้รู้พอแว้ววว (รูปข้างล่างให้ดูขาดเหล้า Raki แต่เชื่อว่าสายตาทุกคนคงมองที่นางรำซะหมดเรยอ่ะดิ อิอิ)
6 มิถุนายน 55
วันนี้เป็นวันเดินทางไกลอีกวัน จาก Cappadocia ไป Pamukkale อยู่บนรถท้าาาางงงงวันจริงๆ
ตอนต่อไปจะมาเล่าต่อ ประสบการณ์ที่ Pamukkale - Seluck - Ayvalik - Canakkale - Gallipoli และจบที่ Istanbul ค่ะ