Posted on March 23, 2014 19:15
ตอนนี้เล่าข้าม Stockholm มาตอนไป Iceland เลย
ก่อนอื่นมาทำความรู้จัก Iceland ก่อน ประเทศนี้มีประชากรน้อยมากเพียงแค่เกือบสี่แสนคนเท่านั้น ประมาณ 120,000 คนอยู่ที่เมืองหลวง Reykjavik แต่ถ้านับเมืองหลวงเขตใหญ่ จะมีคนอยู่ประมาณ 200,000 คน แปลว่าอะไร แปลว่าที่เหลือแสนนิดๆ กระจายอยู่ตามเมืองใหญ่รองลงไปของ Iceland หรือนั่นหมายถึงคนอยู่น้อยมากๆ นั่นเอง
Iceland ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา จนกระทั่งเมื่อปี 2008 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้น ทำให้ค่าเงินของเค้าลดลงอย่างมาก เอาเป็นว่าก่อนปี 2008 การไปเที่ยว Iceland ต้องใช้เงินมากกว่า 50% ของการไปปี 2012 หลังจากนี้ก็คงจะค่อยๆ แพงขึ้นไปเรื่อยๆ อีก ใครคิดจะไปรีบไปซะนะคะ จะหาว่าไม่เตือน อิอิ
Iceland มีภูเขาไฟถึง 130 ลูก และ 18 ลูกในนั้นได้มีการปะทุเป็นครั้งคราวตั้งแต่ประเทศตั้งเป็นประเทศมา ลูกที่ทำให้ Iceland โด่งดังขึ้นมาเร็วๆนี้ก็คือลูกที่ระเบิดเมื่อปี 2010 ที่ทำให้ต้องมีการยกเลิกเที่ยวบินกันจ้าละหวั่น ชื่อ Eyjafjallajökull
แม้ว่ามีการปะทุระเบิดของภูเขาไฟอยู่เนืองๆ หลังจากไปเห็นพบว่า ประเทศนี้ถือได้ว่ามีการจัดการสาธารณูปโภคที่ดีมาก เค้าจะซ๋อมแซมบำรุงถนนหนทาง สะพาน และอื่นๆเพื่อให้คงสภาพใช้งานได้ดีที่สุดอยู่ตลอดเวลา คนที่นี่ทุกคนมีความรู้เป็นอย่างดีเรื่องภูมิประเทศของเค้า เรื่องภูเขาไฟ เรื่องเทคโนโลยีพลังงานความร้อนจากใต้พิภพ หรือ geothermal เป็นอย่างดี เพราะพวกเค้าต้องอยู่กับมัน Iceland ถือว่าเป็นประเทศที่นำพลังงานเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้ดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลกก็ว่าได้ การอยู่กับธรรมชาติที่โหดร้าย กลายเป็นเรื่องจัดการได้แบบคนมีความรู้ น่าทึ่งมาก เมื่อเทียบกับบ้านเรา เรื่องน้ำท่วมเป็นเรื่องไม่ใหญ่ไปเลย
ฤดูท่องเที่ยวของ Iceland คือเดือน มิ.ย. - ส.ค. ส่วนช่วง shoulder ก็หนึ่งเดือนก่อนและหลังช่วงนี้ เลยจากนั้นก็ off season มีเปิดบริการเป็นบางกิจกรรมเท่านั้น และช่วง off season ก็จะไม่ค่อยมีคนบริการด้วย แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปบ้างหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจ ส่วนช่วง high season ของเค้าจึงสมเป็น high season จริงๆ นักท่องเที่ยวเยอะแน่นอน อากาศดีมากๆ ที่สำคัญเป็นช่วงเพียงแค่ไม่กี่เดือนที่ถ้าอยากจะไปแบบทั่วประเทศจึงจะทำได้ทางรถ เพราะด้วยความหนาว หิมะ ถนนปิด และการหยุดให้บริการของเกือบทุกสถานที่ เอาเป็นว่าจะไปก็ตรวจสอบข้อมูลให้ดีจะได้ไม่เสียเที่ยว
สำหรับตัวเองทริป Iceland ครั้งนี้ ถือเป็นการชิมลางเท่านั้น เนื่องจากว่ามีธุระต้องไปให้ถึงลอนดอนวันที่ 6 พ.ค. จึงมีเวลาที่ Iceland เพียงแค่ 4-5 วันเท่านั้น ก็จะใช้เวลาที่นี่ในช่วง shoulder season ให้คุ้มที่สุดเท่าที่จะทำได้
2 พ.ค. 55
นั่งรถไฟจาก Stockholm ไป Copenhagen แล้วต่อด้วยเครื่องบินไป Reykjavik ประเทศ Iceland ถึง Reykjavik ตอนบ่ายนิดๆ ที่พักจองไว้ล่วงหน้า ใช้ www.airbnb.com เช่นเคย เป็นที่พักที่ออกจากใจกลาง Reykjavik ไปนิดหน่อย เป็นการเช่าห้องของเจ้าของบ้านที่น่ารักมากๆ ชื่อ Sirry บอกรายละเอียดยิบว่าลงเครื่องบินแล้วให้ไปยังไง ต่อรถอะไร แล้วลงที่ไหน เค้าจะไปรอรับเข้าบ้าน
ทำไมไม่อยู่ในใจกลาง Reykjavik ทำไมไปอยู่ข้างนอก?
ใจกลางเมือง Reykjavik นั้นเป็นเมืองหลวงที่ไม่ได้หนาแน่น ประวัติศาสตร์ถึงแม้ว่าจะยาวนาน แต่เมื่อเทียบกับความสวยงามทางภูมิประเทศและลักษณะทางธรณีวิทยาของประเทศ ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องรองทันที ในเมือง Reykjavik ไม่ได้มีอะไรมากมายนัก และไม่มีคำว่ารถติดแต่อย่างใด นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เลือกที่พักกับคนไอซ์แลนด์ที่เป็นบ้านเค้าจริงๆ ได้รู้วิธีการใช้ชีวิตและได้พูดคุยกับเค้าจริงๆ ได้บรรยากาศกว่ากันเยอะเลย
ใช่ว่าการพัก hostel ในเมือง Reykjavik จะไม่ดีนะ ถ้าพักที่ hostel ก็ได้เจอนักท่องเที่ยวด้วยกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ และได้ดื่มได้กินได้คุยกันไปอีกแบบ ก็แล้วแต่คนเลือก สำหรับตัวเองของแบบข้างบน
ที่พักที่เลือกอยู่ที่ชานเมืองเรียกว่า Hafnarfjördur
ที่นี่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินสด เพราะเค้าใช้เครดิตการ์ดกันสำหรับทุกการซื้อจริงๆ มีที่ต้องหาเงินสด Iceladic Krona (Ikr) ไว้เพื่อการขึ้นรถเมล์เท่านั้น และไม่มีเงินทอน ต้องมีให้พอดีสำหรับค่ารถ ที่เหลือถือเงินพลาสติกได้ทุกอย่างจริงๆ และเป็นการปฏิบัติปกติของเค้าด้วย
วันนี้พอไปถึง ได้รับการต้อนรับโดยเค้กหนึ่งชิ้นและเครื่องดื่มแล้ว เราเห็นปรึกษากับเจ้าของบ้านเลยว่า เรามีเวลาเพียงแค่สามวันเท่านั้น เราคิดไว้ว่าที่ที่เราจะไปมีอะไรบ้าง เค้าคิดยังไง เค้าบอกว่าที่เราเลือกดีมาก ว่าแล้วก็จัดการจองทาง internet เรย ประเทศนี้เป็นประเทศที่สัดส่วนประชากรใช้ internet สูงที่สุดในโลก 93% ดังนั้นทุกอย่างหาได้ จองได้ จัดได้ เพียงแค่ปลายนิ้วจริงๆ เรียบร้อย
หลังจากนั้นนี้ก็กลับเข้าไป Reykjavik เพื่อสำรวจ ต้องนั่งรถประจำทางเข้าไป ปัญหาคือมีเงิน Ikr ที่เป็นแบงค์ใหญ่ ไม่ได้มีเศษเอาไว้สำหรับค่ารถ เจอป้าคนหนึ่งที่รอรถอยู่ เราขอแลกเงิน เค้าไม่มี เราบอกเอาแบงค์ที่ใหญ่กว่าไปเลย เราขอแค่ค่ารถพอดี เพราะมันต้องหยอด เค้าบอกให้เราเอาเหรียญไปเลย พร้อมบอกว่า ต้อนรับสู่ไอซ์แลนด์ อ่ะจ๊ะ ใจดีอ่ะ เราก็รับมาพร้อมกับรู้สึกขอบคุณสุดๆ
เดินเล่นที่ Reykjavik ไปเรื่อยๆ
รู้สึกหิว หาร้านอาหาร ที่นี่ไม่มี McDonald นะคะ สามสาขาถูกปิดไปหลังวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2009 อืม เดินไปเรื่อยๆ พบว่าที่นี่จำนวนร้านอาหารไทยเยอะเมื่อเทียบกับร้านอาหารอื่นๆ และจำนวนประชากร ว่าแล้วก็สำรวจ ร้านแรกเป็นร้านอาหารไทยชั้นดี ตบแต่งอย่างดีแบบร้านอาหารไทยในต่างแดน เจ้าของเป็นคนไทยแต่งกับคนที่นี่ ผู้ชายเป็นคนไทย น่าประทับใจ แต่ไม่มีโอกาสได้คุย
เดินไปร้านแบบ takeaway
กะซื้อแล้วหิ้วไปกินริมน้ำ ก็พบว่าคนขายเป็นคนไทย เอ้าาาา อะไรจะบังเอิญ สัมภาษณ์เลยล่ะซิ พี่ผู้หญิงคนนี้อายุห้าสิบต้นๆแล้ว มาที่นี่ครั้งแรกเพราะได้รับการชักชวนจากคนไทยที่มาอยู่ก่อน คนไทยส่วนใหญ่มาที่นี่มาเป็นแรงงานโรงงานปลา และก็จะได้รับการแนะนำให้รู้จักกับคนที่นี่ ถูกใจก็แต่งงานอยู่กินกันไป พี่ผู้หญิงคนนี้ตอนนี้ก็เป็นเมียเจ้าของร้านนี้ ชีวิตที่นี่สบายกว่าเมืองไทย ที่เค้าต้องทำไร่ ทำนา ทำงานโรงงานที่อาจจะถูกเอาเปรียบได้ง่าย ค่าแรงถูก มาที่นี่แม้ว่าจะต้องทำงานแต่เป็นระบบระเบียบกว่า จะลำบากก็ตอนต้องเรียนภาษาท้องถิ่น ถ้าได้แล้วก็ดีไป และยิ่งถ้ารู้จักประหยัด ก็กลับไปใช้ชีวิตที่เมืองไทยตอนบั้นปลายชีวิตได้สบาย แกว่างั้น
3 พ.ค. 55
วันนี้เป็นวันที่ซื้อ day trip ไว้ เป็น Jökulsárlón Glacial Lagoon ใช้เวลาประมาณ 14 ชั่วโมง
เราจะผ่านพื้นที่โรงงาน Geothermal แบบนี้ จะเห็นว่าประเทศนี้เค้าใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพมากมายจริงๆ มีภูเขาไฟเยอะนักใช่มะ ใช้ซะเลย 555
ระหว่างทางแวะน้ำตก Skogafoss
กิจกรรมที่เราทำได้ถ้าไปเองคือเดินขึ้นเขาไปด้านบนของน้ำตกนี้อย่างกลุ่มนี้เค้าทำ
นอกจากนี้ ตลอดทางเราจะผ่านทั้งภูเขาไฟที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง สลับกับที่เรียกว่า Lava field ที่ผ่านมาหลายปี ก็จะเริ่มมีพืชเขียวๆ ขึ้นปกคลุมที่เรียกว่า green moss สวยอ่ะ
แล้วก็มาถึง Jökulsárlón Glacial Lagoon ที่นี่เป็นที่ที่น้ำแข็ง Glacial จากภูเขา ที่เป็นน้ำจืดที่ฟอร์มตั้งแต่โบราณกาลและส่วนหน้าก็คือแต่ละหน้าหนาว จะค่อยๆ แตกและไหลจากภูเขาลงมาที่บึงนี้ และไหลลงทะเลไป มีโอกาสได้ชื่นชมกับลักษณะทางธรรมชาตินี้ถือว่าเป็นอะไรที่สุดยอด และยังได้มีโอกาสนั่งเรือชมน้ำแข็งในบึงด้วย ขอบอกว่าประสบการณ์ของแต่ละคนที่มาที่นี่จะแตกต่างกัน เพราะเราไม่รู้หรอกว่าลักษณะของน้ำแข็งที่เราจะไปเจอในช่วงที่เราไปจะเป็นอย่างไร ถือว่าจะเป็นประสบการณ์ที่เฉพาะของแต่ละคนจริงๆ
ระหว่างล่องเรือในบึง เจ้าหน้าที่ก็อธิบายถึงลักษณะของน้ำแข็งแต่ละก้อน มันบอกถึงอายุน้ำแข็งได้ ว่าเก่าใหม่ขนาดไหน

ขากลับแวะน้ำตก Seljalandsfoss ด้วย ที่นี่มีทางเดินให้เราเดินไปด้านหลังน้ำตกได้ด้วย สวยไปอีกแบบ
ไอซ์แลนด์ได้ชื่อว่าอากาศเปลี่ยนเร็วมาก นี่คือตัวอย่างของคำว่าเร็ว ตอนชาวทุ่งลาวาเป็นสีเขียว ขากลับอากาศเย็นลง มีหิมะปกคลุมซะงั้น
วันนี้หลังจากทริปที่ยาวมาก กลับถึงที่พักหลับเรย 555
ข้อสังเกตอีกอย่างของวันนี้ บ้านคนเค้าที่นี่ไม่ล๊อคประตู เจ้าของบ้านให้กุญแจบ้านเข้าออกไว้ แต่ไม่เคยเห็นเค้าล๊อค และก็ไม่มีอะไรหาย สุดยอดอ่ะ
จบตอนนี้เท่านี้ก่อนนะคะ ไอซ์แลนด์เหลืออีกตอนเดียวค่ะ รอติดตามนะคะ