เส้นทาง Egypt-Jordan ตอนที่ 3
Posted on September 18, 2014 12:26
Posted on September 18, 2014 12:26
ตอนนี้เป็นประสบการณ์หลังจากกลับจาก Luxor ไปที่ Cairo ต่อไป Dahab และ Red Sea Camp ที่ Nuweiba หลังจากนั้นข้ามไปเมือง Aqaba ประเทศจอร์แดน ต่อด้วย Wadi Rum
25 พ.ค. 55
กลับถึงไคโรแต่เช้า ลงจากรถไฟ เอาของเก็บ ก็สำรวจในเมืองไคโร เริ่มจากเมืองเก่าที่เรียกว่า Coptic Cairo ซึ่งเชื่อกันว่าสร้างตั้งแต่ก่อนคริสตกาล สิ่งที่น่าสนใจก็ใน Coptic Cairo ก็มี
The Hanging Church (Church of the Virgin Mary)
the Church of St. Sergius (Abu Serga)
Islamic Cairo มัสยิดที่นี่เก่าแก่และกว้างมาก และแน่นอน แยกส่วนระหว่างชายหญิงชัดเจน
สำหรับเราผู้หญิงนักท่องเที่ยวต้องแต่งตัวให้เหมาะสมก่อนเข้าไป เค้ามีชุดนี้ให้ยืม
หลังจากนั้นพวกเราก็ไปที่ Khan el-Khalili ตลาด souk ที่ใน Islamic District ของโคโร ทำการ shopping ก่อนออกเดินทางจากซีกอัฟริกาของอียิปต์ไปยังซีกเอเชียในวันพรุ่งนี้ แต่ก็ไม่ใช่ประสบการณ์การ shopping ที่ดีนัก เพราะการขาดนักท่องเที่ยวมาเป็นเวลามากกว่าหนึ่งปี คนขายใกล้จะสิ้นหวัง เค้าจะตื้อคุณจนเรารู้สึกไม่สนุกกับการเดิน เพราะอย่าได้แสดงความสนใจแม้เพียงเล็กน้อย เช่นหยุดดู เป็นต้น คุณจะสลัดเค้าไม่หลุดเลย ถ้าพฤติกรรมการขายแบบนี้ยังไม่เปลี่ยน คาดว่าการ shopping ในอียิปต์ยังจะต้องมีจุดต่ำกว่าที่เป็นอยู่ไปอีกนานพอสมควร การ comment นี้ก็เพราะอยากให้เค้าเข้าใจและปรับปรุง เพื่อประโยชน์ของเค้าเอง ส่วนเราสุดท้ายไม่ได้ซื้ออะไรเลยที่นี่
อาหารที่ซื้อง่าย กินง่าย อร่อยและราคาไม่แพงที่อียิปต์ก็ต้อง Shawarma และน้ำผลไม้คั้นสด
26 พ.ค. 55
วันนี้แผนเดิมเราจะต้องนั่งรถไป Mt. Sinai และ St.Catherine แต่เนื่องจากสถานการณ์หลังเกิดความไม่สงบในอียิปต์ เกิดเหตุการณ์นักท่องเที่ยวถูกลักพาตัวค่อนข้างบ่อย และเมื่อคืนมีเหตุการณ์สดๆร้อนๆ อีกครั้งที่ St.Catherine เพื่อความปลอดภัย เราตัดสินใจไปที่ Dahab แทน เสียดายไม่ได้ไป St.Catherine เหมือนกันแต่ต้องปลอดภัยไว้ก่อน Better Safe than Sorry
วันนี้เป็นการนั่งรถจากทวีปอัฟริกา ไปยังทวีปเอเชีย (ตะวันออกกลาง) จาก Cairo ไป Dahab เป็นระยะทางที่ไกลมาก ใช้เวลาเกือบทั้งวัน
เมื่อข้ามจากฝั่งอัฟริกามาฝั่งเอเชีย ภาพสวยๆ แบบนี้
เดินทางมาไกล relax ที่สระน้ำใน รีสอร์ท ก็ได้เวลาเดินสำรวจ Dahab และทานอาหารริมทะเล
27 พ.ค.55
เช้าวันนี้เดินทางต่อไป Red Sea Camp ที่ Nuweiba ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
ที่แคมป์นี้ เป็นอะไรที่เหมือนมาแคมป์จริงๆ ตรงที่สิ่งอำนวยความสะดวกไม่เยอะ ทะเล Red Sea ที่เริ่ดก็คือเรามองเห็นฝั่งด้านตรงข้ามเหมือนไม่ไกลเลย ฝั่งตรงข้ามคือประเทศซาอุดิ อาระเบีย เนื่องจากเป็นอ่าวที่มีสองฝั่งค่อนข้างแคบ ทะเลจึงเหมือนแม่น้ำที่สงบมากๆ แทบไม่มีคลื่นเลย
ที่แคมป์นี้เราทำเรื่องเปิ่นไว้ พอไปถึง บางคนนอนพักผ่อน บางคนไปหาข้อมูลเพื่อดำน้ำลึก ส่วนเรา เพื่อนชาวแคนาดา และเพื่อนชาวออสเตรเลีย อยากลอง kayaking ก็ไปเช่าแล้วก็พายไป แต่ตอนขากลับ ด้วยความที่ชายหาดมองแล้วเหมือนกันไปหมด พวกเราพายเลยที่พักตัวเองไปไม่รู้ตัว เลยไปไกลมาก จนคิดไปเองว่าตอนเรามาเรามาไกลขนาดนี้เลยเหรอ แต่จริงๆ แล้วตอนพายไปไม่ไกลเลย แต่ตอนพายกลับดันเลย แล้วหาจุดสังเกตไม่เจอว่าตัวเองเลยมาไกลมาก พอมาไกลมาก จะพายกลับไม่ไหวแล้วหมดแรง เลยต้องลากขึ้นฝั่งไปขอความช่วยเหลือให้คนแถบนั้นให้ช่วยโทรหาแคมป์ที่เราพัก ซึ่งกว่าจะคุยกันรู้เรื่องเพราะเราทั้งสามคนดันจำไม่ได้ว่าชื่อแคมป์ที่ตัวเองพักชื่ออะไร ต้องอาศัยให้เค้าโทรมันทุกอันแถบนี้ (ทั้งหมดนี้ภาษามือล้วนๆ เค้าไม่พูดภาษาอังกฤษ เราไม่พูดภาษาอาหรับ) และก็เจอจนได้ คนที่นั่นใจดีมาก เค้าจะต้อนรับแขกด้วยการให้ดื่มชา ซึ่งพวกเราก็ไม่มีใครอยากดื่มเพราะมันจะค่ำแล้ว ชาที่เค้าดื่มกันคาเฟอีนเยอะมาก ดื่มไปตอนนี้ รับรองนอนไม่หลับ ต้องยอมเสียมารยาท รอเกือบครึ่งชั่วโมงก็มีคนที่แคมป์เรามารับกลับ กลับโดยรถ และต้องไปทิปให้กับเจ้าเด็กที่แคมป์สามคนที่ต้องมาลากเรือ kayak กลับไป ฮามาก กลายเป็นเรื่องเล่าตอนอาหารค่ำที่ฮามาก ออกแนวกะเหรี่ยงสามคน มันไม่รู้ทิศเลยว่ามันอยู่ตรงไหน ที่สำคัญดันไม่มีใครจำได้ว่าที่พักตัวเองชื่ออะไร
ใครขนอุปกรณ์การดำน้ำที่เค้าใช้ที่นี่ เจ้าอูฐเหล่านี้นี่เอง คนนั่งรถจี๊บ อุปกรณ์อูฐแบกเดินล่วงหน้าไปก่อนเรย เจอกันแถวๆ Blue Hole นะจ๊ะ
นอกจากนี้เราได้มีโอกาสไป Snorkling ที่ Blue Hole (ไม่กล้าดำน้ำลึก เพราะไม่แน่ใจความปลอดภัยของอุปกรณ์และความรู้ของเจ้าของกิจการที่นี่ที่เป็นชาวอียิปต์ เพราะเรื่องดำน้ำยังไม่ค่อยแพร่หลายนัก) น้ำใสมั่กมั่ก ปลา ปะการัง ยังสมบูรณ์อยู่มาก (ไม่มีกล้องถ่ายใต้น้ำไป เสียดาย) ประทับใจกับประสบการณ์ที่ Red Sea มาก
นั่งมองจากเปลหน้าห้องพักตัวเอง อีกฝั่งเป็นซาอุดิอาระเบีย
Sunset ที่ Nuweiba อีกฝั่งคือประเทศซาอุดิอาระเบีย
28 พ.ค. 55
วันนี้เป็นวันที่เราต้องนั่งเฟอร์รี่เพื่อข้ามไปประเทศจอร์แดน ขั้นตอนการข้ามชายแดน เป็นอะไรที่ทำให้เราไม่สบายใจเลย ไม่คิดว่านักท่องเที่ยวคนไหนจะสบายใจ เพราะมีคนที่คอยฉวยโอกาสจะมาเอาพาสปอร์ตจากเรา ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นเจ้าหน้าที่หรือไม่ เพราะเค้าไม่ใส่เครื่องแบบ แต่ละคนกอดพาสปอร์ตไว้แน่น และจะยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ที่ใส่เครื่องแบบเท่านั้น แต่ก็นะ เป็นความอึดอัดเล็กน้อย เราจะได้วีซ่าเมื่อมาถึงจอร์แดนแล้ว ดีที่มีเจ้าหน้าคอยอำนวยความสะดวกให้ ยังคิดว่าถ้าไปเองจะลำบากมากพอควร เพราะไม่ใช่ว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนพูดภาษาอังกฤษ และเป็นผู้หญิงในประเทศมุสลิม แนะนำว่าควรมีคนให้คำแนะนำ ไม่เช่นนั้นการข้ามฝั่งแบบนี้ ไม่เหมาะกับผู้หญิงเดินทางคนเดียวแน่นอน
ตอนบ่ายก็มาถึงเมือง Aqaba ประเทศจอร์แดน หลังจากรอการทำวีซ่าเรียบร้อย เราก็ไป check-in ที่โรงแรมใน Aqaba เดินเล่นใน Aqaba ซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญของจอร์แดน เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาพักผ่อนค่อนข้างมาก บรรยากาศที่นี่ไม่ยุ่งเหยิงเหมือนเมืองในประเทศอียิปต์ และที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือ ที่อียิปต์คนที่ขายของจะตามตื้อให้เราซื้อของเค้า จนเรารำคาญ ในที่สุดไม่อยากซื้อไม่อยากมอง แต่ที่นี่น่าเดินชมสินค้ามากกว่ากันเยอะเลย เค้าจะไม่มาตามตื้อเราจนเกินพอดี เราสนใจอยากได้ ค่อยถามไถ่ แล้วเค้าจึงจะกุลีกุจอมาบริการ แต่ถ้าเราบอกไม่เอา เค้าจะเคารพการตัดสินใจของเรา แต่การบริการแบบเข้าใจลูกค้าแบบนี้ ก็สนนราคาต่างกับที่อียิปต์มากมาย ที่นี่ของจะแพงกว่า แต่ขณะเดียวกันคุณภาพดีกว่า ดังนั้น เราจะรู้สึกปลอดภัย เดินเล่น ช๊อปปิ้ง แบบเพลินๆ ได้สบาย แถมที่นี่มีร้านกาแฟชิลล์ๆ ให้นั่งเยอะเลย
Aqaba Archaeological Museum
29 พ.ค. 55
เดินทางไป Wadi Rum หรืออีกชื่อ Valley of the Moon ซึ่งเป็นหุบเขาที่ตัดหินทรายและหินแกนิต ซึ่งที่นี่ถือว่าเป็น Valley หรือหุบเขาที่ใหญ่ที่สุดของจอร์แดน และแน่นอนที่นี่เป็นอีกหนึ่งในมรดกโลก UNESCO World Heritage Site
ประวัติศาสตร์ที่ย้อนไปก่อนคริสตกาล Wadi Rum ชาว Nabataeans ตั้งรกรากที่นี่ประมาณ 400 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งยังคงมีสิ่งก่อสร้างและสัญลักษณ์ให้เราเห็นจนถึงปัจจุบันนี้ เช่น รูปภาพ การเขียนโดยใช้ภาพเป็นสัญลักษณ์ และยังเหลือซากของวัดตั้งแต่สมัยโน้นให้เราได้ชมกันอยู่
Wadi Rum เริ่มเป็นที่รู้จักต่อชาวโลก ก็เมื่อ T.E.Lawrence ชาวอังกฤษ ที่ต้องเดินทางผ่านหุบเขานี้หลายครั้งในช่วงกบฎอาหรับระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังจากหนังสือ Lawrence’s book ตีพิมพ์ออกจำหน่าย ก็มีเขาลูกหนึ่งถูกเรียกว่า The Seven Pillars of Wisdom ใครสนใจไปหาอ่านกันเองนะคะ
ทางเข้า ก็ต้องซื้อเสบียง จ่ายค่าด่านให้เรียบร้อย
เข้ามาด้านใน ก็นี่เลยทราย เขาหินสีแดง มีแคมป์คนที่อาศัยอยู่ที่นี่เล็กน้อย
ข้างล่างก็นี่เลย การทำมาหากินของคนในนี้เรย เลี้ยงปศุสัตว์
ระหว่างทางหยุดทานอาหารกลางวัน (รูปกับเพื่อนร่วมทริปขาวอังกฤษ)
ระหว่างทางเราจะพบว่าคนโบราณได้ฝากเรื่องราวในอดีตไว้ตามหินเกือบทุกลูก
ที่นี่เป็นภูมิประเทศที่ถ้าต้องเดินรอนแรมแบบในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง นึกภาพออกว่าคงมีทั้งคนป่วย คนถูกพายุทรายพัดไป คนที่ต้องแข็งแรง ทนแดด ทนกระหายน้ำ มันจะลำบากขนาดไหน
Nabatean temple
Jabal Umm Fruth Rock Bridge
เมื่อเทียบกับปัจจุบันมีรถมาถึงที่แล้วนั่งมองวิวแบบนี้ สวยมาก มองไปได้สุดลูกหูลูกตา สีแดงของทะเลทรายสลับกับภูเขาหินทรายสีแดงเป็นระยะ ๆ
ปีนขึ้นไปนั่งชมวิวจากด้านบน เพื่อเก็บความทรงจำนี้ไว้ให้ได้มากที่สุดแล้ว สวย สงบ (นึกไม่ออกเลยว่าถ้ามีพายุโล่งๆ แบบนี้ จะสาหัสขนาดไหน)
มองลงมาอีกด้านเห็นแคมป์ที่พักของตัวเอง
หลังจากนั้น ก่อนเวลาอาหารค่ำ พ่อครัวที่นี่สาธิตวิธีที่เค้าอาหารเมื่อครั้งโบราณ อบอาหารในเตาที่ขุดเป็นหลุมในดิน หน้าตาออกมาน่ากิน กลิ่นหอม เริ่ดดดดดด
แม้ว่าแคมป์ที่พักจะไม่ใช่หรูแบบโรงแรมห้าดาว แต่ก็เริ่ดมากแล้วสำหรับสิ่งแวดล้อมแบบนี้ อากาศตอนกลางวันร้อน ตอนเย็นไปถึงดึกหนาว ดังนั้นไม่ต้องมีแอร์หรือพัดลม แต่ต้องมีผ้าผ่ม ส่วนห้องน้ำก็เป็นห้องน้ำแบบแยกออกจากห้องนอน ต้องเดินถือไฟฉายออกไปพอสมควร จะเข้าห้องน้ำกลางดึกต้องปลุกเพื่อนห้องข้างๆ เดินไปด้วย กลัวความมืด 555
นอนหลับอิ่มเอมใจว่าเรานี่ช่างโชคดีเสียนี่กระไร ได้มีโอกาสมาสัมผัสประสบการณ์ที่น่าประทับใจอีกแห่งของโลกใบนี้ นอนหลับฝันดีคืนนี้
จบตอนนี้เพียงเท่านี้ ตอนหน้าจะเป็นตอนจบของเส้นทาง Egypt - Jordan
#thaitraveltheworld
#Jordan#Egypt#Dahab#WadiRum